posttoday

95 ปีมหาสมณานุสรณ์ แต่วันสิ้นพระชนม์

07 สิงหาคม 2559

ความสำคัญของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชองค์ ที่ 10 นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน

โดย...ส.สต

คุณูปการต่อคณะสงฆ์ไทย

ความสำคัญของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชองค์ ที่ 10 นั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน ต้องฟังพระพรหมบัณฑิต (ประยูร ป.ธ.9 Ph.D) อธิการบดีมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ปาฐกถาเรื่องสนามหลวงแผนกธรรม อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ในโอกาสฉลอง 100 ปี แห่งการศึกษาปริยัติธรรมแผนกธรรม ณ วัดบวรนิเวศวิหาร 11 เม.ย. 2556 ที่กล่าวตอนหนึ่งว่า ให้มองย้อนกลับสู่อดีต เพื่อให้เห็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผู้มีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปการศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ถ้าไม่มีสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้นอยู่ในคณะสงฆ์ไทย เราก็นึกไม่ออกว่าวันนี้การศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

แปลว่าการศึกษาคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบัน ได้ใบบุญจากสมเด็จพระมหาสมณะพระองค์นั้น ไม่ว่าการศึกษาปริยัติธรรม ทั้งแผนกธรรมและบาลี หรือการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทั้งมหามกุฏฯ และมหาจุฬาฯ หากไม่ได้พระองค์เป็นสถาปนิก คณะสงฆ์ไทยไม่มีการศึกษาเช่นทุกวันนี้

95 ปีมหาสมณานุสรณ์ แต่วันสิ้นพระชนม์ พระอัฐิสมเด็จพระสังฆราช 4 พระองค์ และอัฐิพระพรหมมุนี อดีตผู้ครองวัดบวรนิเวศวิหาร

 

95 ปีรำลึก

สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น สิ้นพระชนม์ไปแล้ว 95 ปี เมื่อถึงวันสิ้นพระชนม์ในแต่ละปี คณะสงฆ์วัดบวรนิเวศวิหาร จัดงานบำเพ็ญกุศลถวายตลอด ดังเช่น  เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2559 ได้จัดพิธีดังกล่าวขึ้น ณ ตำหนักเพชร  โดยมีสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธ และสมเด็จพระวันรัต เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ หม่อมเจ้ามงคลเฉลิม ยุคล พร้อมด้วย หม่อมบงกชปริยา ยุคล ณ อยุธยา เป็นประธานฝ่ายฆราวาส

ในการนี้ทางคณะสงฆ์ ได้อัญเชิญพระอัฐิสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระอุปปัธยาจารย์, พระอัฐิสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์, พระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และอัฐิพระพรหมมุนี (ผิน สุวจเถร) อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร มาบำเพ็ญกุศลด้วย ซึ่งทั้ง 4 พระองค์ และ 1 องค์ เป็นอดีตผู้ครองวัดบวรนิเวศวิหาร 

95 ปีมหาสมณานุสรณ์ แต่วันสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระวันรัต ผู้ครองวัดบวรนิเวศในปัจจุบัน มอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน

 

วันประสูติ

พระประวัติสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ  สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 10 ประสูติวันที่ 12 เม.ย. 2403  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเป็นพระชนก  เจ้าจอมมารดาแพ ในรัชกาลที่ 4 เป็นพระมารดา วันประสูติฝนตกเหมือนนาคให้น้ำ สมเด็จพระบรมชนก ทรงเอานิมิตนี้พระราชทานพระนามว่า พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ

พระชันษาได้ 13 ปี ได้ทรงผนวชเป็นสามเณร ประมาณ 2 เดือน แล้วทรงลาผนวช

เหตุที่บวชไม่สึก

ครั้นพระชันษา 20 ปี ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2422 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนเหตุการณ์ที่พระองค์ตัดสินพระทัยผนวชตลอดชีวิต เกิดขึ้นขณะที่เป็นพระใหม่ประทับที่วัดบวรนิเวศวิหารนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จถวายพุ่มเทียนพรรษา และทรงกราบ  ทำให้ตัดสินพระทัยว่าจะไม่สึก เพราะไม่ปรารถนาให้พระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นคนที่ทรงกราบแล้วถือเพศคฤหัสถ์

95 ปีมหาสมณานุสรณ์ แต่วันสิ้นพระชนม์ พระพรหมบัณฑิต อธิการบดี มจร

 

ผนวชได้ 3 พรรษา ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมหน้าพระที่นั่ง ได้เป็นเปรียญ 5 ประโยค จากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ต่อมา พ.ศ. 2435 ทรงเป็นเจ้าอาวาส วัดบวรนิเวศ และ พ.ศ. 2436 ทรงดำรงตำแหน่งคณะเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต

ผู้บัญชาการสงฆ์

เมื่อมี พ.ร.บ.สงฆ์ ร.ศ. 121 หรือ พ.ศ. 2445 หลังจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา) สิ้นพระชนม์ไป 3 ปี แต่รัชกาลที่ 5  มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราช หากแต่มีพระบรมราชโองการฯ ให้สมเด็จพระมหาสมณฯ ทรงเป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์ และทรงเป็นประธานมหาเถรสมาคมด้วย 

ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช พ.ศ. 2453  ในรัชสมัยสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 ทรงมีลายพระหัตถ์ให้กระทรวงธรรมการ ให้ถวายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์แก่พระองค์  รัชกาลที่ 6 ทรงมอบการทั้งปวงซึ่งเป็นกิจธุระพระศาสนา ให้ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2455

ทรงบริหารการศึกษาและคณะสงฆ์ จนสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2464 สิริพระชันษาได้ 61 ปี ครองวัดบวรนิเวศวิหารนาน 30 ปี ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชอยู่ 10 ปี 7 เดือน

95 ปีมหาสมณานุสรณ์ แต่วันสิ้นพระชนม์ บรรยากาศที่ตำหนักเพชร ในวันมหาสมณานุสรณ์ 95 ปี

 

ไม่มีใครลบสถิติ

ตลอดเวลาที่ดำรงพระชนม์ชีพ ทรงมีผลงานทางด้านการศึกษา และการปกครองมากมาย หากไม่ได้พระองค์ท่าน ที่ทรงพระปรีชาสามารถแล้วการศึกษาในส่วนประชาชนก็ดี และคณะสงฆ์ก็ดี คงไม่เป็นรูปเป็นร่างดังที่เห็นในปัจจุบัน

พระนิพนธ์เล่มหนึ่งที่มีสถิติการพิมพ์มากที่สุดของไทย คือ นวโกวาท ล่าสุดพิมพ์ครั้งที่ 83 เมื่อ พ.ศ. 2557 จำนวน 5 หมื่นเล่ม  เป็นหนังสือหนาประมาณ 82 หน้าใช้สอนผู้บวชใหม่ เรื่องวินัยบัญญัติ ธรรมวิภาค และคิหิปฏิบัติ  และใช้เป็นหลักสูตรนวกภูมิ และนักธรรมชั้นตรี  ส่วนพระนิพนธ์อื่นๆ ที่ช่วยให้การเข้าถึงพุทธธรรมง่ายและเร็วขึ้นก็พิมพ์ซ้ำหลายครั้ง เช่นหลักสูตรนักธรรมชั้นโท และชั้นเอก รวมถึงตำราบาลีไวยากรณ์ ที่ผู้เรียนใช้เวลาไม่มาก สามารถรู้หลักภาษาและแปลภาษาบาลีได้

พระดำริที่เปลี่ยนแปลงอีกเรื่องหนึ่งได้แก่การสอบ แต่เดิมการสอบบาลี ใช้แปลปากเปล่าให้เปลี่ยนเป็นข้อเขียน และการให้คะแนน เริ่ม พ.ศ. 2454 และใช้ทุกประโยคใน พ.ศ. 2458

เมื่อนับเวลาปฏิรูปและจัดการศึกษา ผ่านมา 100 กว่าปี ตำราฉบับพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า พระองค์นั้น ยังไม่ล้าสมัย เป็นหลักในการศึกษาคณะสงฆ์ไทยถึงทุกวันนี้

สรุปผลงาน

1.ด้านการพระศาสนา พระองค์ได้พัฒนาภิกษุสามเณร ให้มีความรู้ความสามารถในพระธรรมวินัย ทรงผลิตตำราและหนังสือทางพระพุทธศาสนา ที่คนทั่วไปสามารถอ่านทำความเข้าใจได้ง่าย

2.ด้านการคณะสงฆ์ ทรงออกพระมหาสมณาณัติ พระวินิจฉัยและทรงวางระเบียบ แบบแผน เกี่ยวกับพระอุปัชฌาย์ การปกครองภิกษุสามเณรและศิษย์วัด การวินิจฉัยอธิกรณ์ ระเบียบเกี่ยวกับสมณศักดิ์ พัดยศ นิตยภัต ดวงตราประจำตำแหน่ง เป็นต้น

3.ด้านการศึกษา ทรงปรับปรุงการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ทันสมัย

4.งานพระนิพนธ์ พระองค์ทรงรอบรู้ภาษาต่างๆ หลายภาษา คือ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส ได้ทรงนิพนธ์เรื่องต่างๆ ไว้เป็นอันมาก เช่น หนังสือหลักสูตรนักธรรมชั้นตรี โท เอก หลักสูตรบาลี ไวยากรณ์ทั้งชุด รวมพระนิพนธ์ทั้งหมดมีมากกว่า 200 เรื่อง นอกจากนี้ยังทรงชำระ คัมภีร์บาลีไว้กว่า 20 คัมภีร์

ข่าวล่าสุด

ALATi “สยาม เคมปินสกี้” เมดิเตอร์เรเนียนโมเมนต์ สำหรับวันธรรมดาที่สุดพิเศษ