โค้งสุดท้ายประชามติ เสียงสูสี รับ-ไม่รับ
ชั่งน้ำหนักเสียง “รับ” และ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญเวลานี้ ยัง “สูสี”
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ชั่งน้ำหนักเสียง “รับ” และ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญเวลานี้ ยัง “สูสี” จนยากจะฟันธงได้ชัดเจนว่าผลการออกเสียงประชามติวันที่ 7 ส.ค.นี้ จะออกมาอย่างไร
ยิ่งหากพิจารณาจาก “ท่าที” ของหลายฝ่ายที่ออกมาแสดงจุดยืนของตัวเองทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย ยิ่งทำให้บอกได้ยากผลจะออกมาอย่างไร เพราะประเมินขุมกำลังของกลุ่มต่างๆ ล้วนแต่มีผู้สนับสนุนของตัวเองในสัดส่วนที่ไม่แตกต่างกัน
เริ่มตั้งแต่ฝั่ง “รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีหลายกลุ่มในเวลานี้ประกาศจุดยืนสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป
กลุ่มแรกชัดเจนที่สุดคือ กลุ่ม กปปส. ภายใต้การนำของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เวลานี้เปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหวมาเป็นมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งมีกลุ่มผู้ชุมนุมอยู่จำนวนไม่น้อย แม้จะลดน้อยถอยลงไปจากเดิมเมื่อครั้งออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านกฎหมายนิรโทษกรรมแบบสุดซอย ต่อเนื่องด้วยการเรียกร้องให้รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่ง
ทว่า กระแสรับร่างรัฐธรรมนูญถูกจุดเป็นประเด็นขึ้นมาอีกรอบในช่วงโค้งสุดท้ายการออกเสียงประชามติ เมื่อสุเทพใช้ช่องทางเฟซบุ๊กส่วนตัวออกมาแสดงเหตุผลประกอบจุดยืนรับร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไล่ตั้งแต่คำปรารภไปจนถึงประเด็นเรื่องการศึกษา สาธารณสุข
โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปที่สุเทพให้น้ำหนักเป็นพิเศษ ด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการให้การเคลื่อนไหวหลายร้อยวันของมวลมหาประชาชนต้องสูญเปล่า
สอดรับไปกับท่าทีของสุเทพที่งัดไม้ตาย สวมเสื้อยืด ห้อยนกหวีด ออกมาปลุกให้มวลมหาประชาชนไปลงประชามติรอบนี้ เพื่อไม่ให้การเคลื่อนไหวเรื่องการปฏิรูปที่ทำมาต้องสูญเปล่า
กลุ่มถัดมาคือกลุ่มไม่ชอบนักการเมือง แม้จะไม่ได้เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปเสียทั้งหมด แต่ก็ตัดสินใจลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะมีกลไกที่เข้มงวดในการคัดกรองบุคคลเข้าสู่เส้นทางการเมือง ด้วยการกำหนดคุณสมบัติที่เข้มงวด รวมทั้งกลไกการติดตามตรวจสอบ การตีกรอบการทำงานไม่ให้นักการเมืองมีอำนาจมากเกินไป
การตัดสินใจรับร่างรัฐธรรมนูญของของคนกลุ่มนี้เป็นไป เพราะคาดหวังว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้นำไปสู่บรรยากาศใหม่ๆ ลบภาพการเมืองแบบเก่าๆ และหวังว่าจะพาประเทศหลุดพ้นวังวนเดิม
ดังจะเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นที่ไม่ปรารถนาของนักการเมืองพรรคใหญ่ ทำให้หลายคนมองว่านี่น่าจะเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีจนทำให้นักการเมืองต้องออกมาต่อต้าน
คล้ายกับกลุ่มไม่เอาทักษิณ ซึ่งกลุ่มนี้ประกาศตัวชัดเจนว่าพร้อมยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับระบอบทักษิณทุกกรณี ดังนั้นการตัดสินใจเลือกรับร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้หมายความว่าพึงพอใจกับการบริหารงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือชื่นชอบเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญ แต่เลือกเพราะสนับสนุนฝั่งที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับระบอบทักษิณ
อีกด้านยังเป็นการทำให้รัฐบาล คสช.สามารถเดินหน้าไปตามโรดแมปได้ โดยไม่มีปัจจัยที่จะสะดุด แถมยังเป็นการ “สกัด” ไม่ให้คนจากระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจในช่วงเร็ววันนี้
ไม่ต่างจากกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการอยู่ในอำนาจของ คสช.ต่อไป เช่น กลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในหลายพื้นที่ที่แม้จะพ้นวาระไปแล้วแต่ก็ยังรักษาการเพราะ คสช.ไม่เปิดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ยิ่ง คสช.อยู่ในตำแหน่งต่อไปนานเท่าไหร่ คนกลุ่มนี้ก็ยังอยู่ในอำนาจต่อไป
เช่นเดียวกับ เครือข่าย คสช. รวมทั้งแม่น้ำสายต่างๆ ที่ส่วนใหญ่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ขณะที่อีกด้านหนึ่งกลุ่มที่ “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ กลุ่มใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นพรรคการเมืองใหญ่ ทั้ง เพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ซึ่งมีสมาชิกและผู้สนับสนุนหลายล้านคน การประกาศจุดยืนชัดเจนว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญย่อมมีส่วนโน้มน้าวให้แฟนคลับและสมาชิกตัดสินใจตามแนวทางของพรรคไปได้
ถัดมาเครือข่ายประชาชน กลุ่มใหญ่ที่สุดคือ กลุ่มพลเมืองผู้ห่วงใย อันประกอบไปด้วย 16 องค์กร และ 117 รายชื่อส่วนบุคคล นำโดย โคทม อารียา อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีบางส่วนทับซ้อนอยู่กับพรรคการเมือง ซึ่งออกมาเรียกร้องให้ คสช.ประกาศทิศทางที่ชัดเจนหลังประชามติไม่ผ่าน
ยังไม่รวมกับกลุ่มนักวิชาการ อาทิ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองที่ออกมาประกาศจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีแนวร่วมไม่น้อย
เช่นเดียวกับกลุ่มเอ็นจีโอที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ ซึ่งเปิดหน้าไม่เห็นด้วยกับประเด็นสิทธิที่ลดน้อยถอยลงไปในร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาประกาศ
ดังนั้น เสียงที่ยังสูสีเวลานี้จึงยากจะสรุปได้คงต้องรอดูกันสามทุ่มวันที่ 7 ส.ค.นี้


