posttoday

ยิ่งลักษณ์เดินเกม2ชั้น ปลุกไม่รับรธน.รวมพลังสู้จำนำข้าว

04 สิงหาคม 2559

เพื่อไทย มีเป้าหมายเดียวไม่เปลี่ยนแปลงที่ต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการกดดัน คสช.

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ไม่ค่อยบ่อยนักที่จะได้เห็น “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊กถึงสองวันติดต่อกันอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ระหว่างวันที่ 2 และ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา

2 ส.ค. อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ออกมาประกาศย้ำชัดเจนในช่วงโค้งสุดท้ายว่าขอใช้สิทธิออกเสียงลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง

“ดิฉันพูดมาโดยตลอดว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด มีความสำคัญในการกำหนดรูปแบบการปกครองประเทศ ซึ่งต้องเป็นประชาธิปไตยที่ยอมรับอำนาจการตัดสินใจของประชาชน การให้สิทธิเสรีภาพและสิ่งที่ประชาชนพึงจะได้รับ

รวมถึงการกำหนดการถ่วงดุลระหว่างอำนาจต่างๆ ไว้อย่างเหมาะสม และรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญจะต้องสามารถแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ แต่จากการติดตามการยกร่างและสาระของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มาโดยตลอด ดิฉันเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญมิได้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าว ดิฉันจึงไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และไม่เห็นชอบคำถามพ่วงค่ะ”

3 ส.ค. เป็นเนื้อหาที่ขอกำลังใจจากประชาชน เนื่องจากอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ มีคิวต้องขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อเข้ารับการไต่สวนในคดีรับจำนำข้าววันที่ 5 ส.ค.

“ดิฉันก็เชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ เหลือเวลาอีกเพียงสองวัน ดิฉันจะต้องขึ้นศาลฯ เพื่อแถลงเปิดคดีและตอบคำถามฝ่ายโจทก์ด้วยตัวเองค่ะ ครั้งนี้อยากจะบอกว่าต้องการกำลังใจจากพี่น้องประชาชนและแฟนเพจด้วยนะคะ ขอขอบคุณค่ะ”

ทั้งสองเรื่องเหมือนจะเป็นคนละประเด็น แต่ถ้ามองในทางการเมืองแล้วกลับมีนัยสำคัญค่อนข้างมาก เพราะต่างออกมาในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ

อย่างในกรณีรับจำนำข้าว มีประเด็นที่น่าสนใจว่าทำไมยิ่งลักษณ์ถึงต้องขอกำลังใจจากมิตรรักแฟนเพลงในเวลานี้ ทั้งๆ ที่วันที่ 5 ส.ค.ไม่ใช่การไต่สวนวันสุดท้าย เพราะการไต่สวนพยานในศาลฎีกาฯ วันสุดท้าย คือ วันที่ 18 พ.ย. หากยิ่งลักษณ์จะขอกำลังใจก็ควรจะมีลูกอ้อนช่วงใกล้ๆ เวลาดังกล่าวมากกว่า

โดยสาเหตุที่ต้องขอแรงใจจากมวลชนแบบเร่งด่วน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลเริ่มใช้ยาแรงผ่านการเร่งรัดฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว

ดังจะเห็นได้จากท่าทีของ “ม.ล.ปนัดดาดิศกุล” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่า “ตัวเลขที่ได้รับการยืนยันพบว่าความเสียหายจากการบริหารจัดการโครงการรับจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ อยู่ที่ 286,639 ล้านบาท ส่วนของบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และพวก อยู่ที่ 18,743 ล้านบาท”

การขยับตัวของรัฐบาลครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าหวังผลในทางการเมืองไม่น้อย เพราะต้องการตอบโต้ฝ่ายการเมือง หลังจากพรรคเพื่อไทยพยายามปลุกมวลชนให้ออกมาคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ และพยายามชี้ให้เห็นว่าความเสียหายของประเทศที่ผ่านมา เกิดมาจากความไม่โปร่งใสของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ที่สำคัญ การกระทุ้งคดีรับจำนำข้าวของรัฐบาล ยังมีเป้าหมายชี้นำประชาชนทางอ้อมให้มาลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขการทุจริต

เมื่อสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกไล่ต้อน จึงจำเป็นต้องออกมาตอบโต้บ้าง ซึ่งยิ่งลักษณ์ถือเป็นตัวขุนที่มีระดับพอที่จะสร้างอิทธิพลและชี้นำในทางการเมืองได้ เพื่อไม่ให้รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นฝ่ายออกมาล่าเพียงฝ่ายเดียว

คสช.และพรรคเพื่อไทย ต่างมีเป้าหมายต่างกัน ส่งผลให้การห้ำหั่นในช่วงโค้งสุดท้ายจึงดุเดือดเป็นพิเศษ เพราะการลงประชามติครั้งนี้ต่างฝ่ายมีการเดิมพันสูง

คสช.มีเป้าหมายที่ต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้ผ่านประชามติ เพื่อเป็นฐานของการสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง และสามารถนำไปอ้างได้ว่าประชาชนให้การยอมรับการทำงานของ คสช. และยังเป็นการทำให้ข้อกล่าวหาที่ฝ่ายการเมืองมอบให้ก่อนหน้านี้สลายลงไปได้

ในทางกลับกัน หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ ถึง คสช.จะอยู่ในตำแหน่งตามกฎหมายได้ แต่ระหว่างทางภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คงเป็นเรื่องที่ คสช.จะบริหารประเทศได้อย่างไม่มีความสุข เพราะแรงกดดันจะพุ่งมาที่แม่น้ำ 5 สาย ไม่เว้นแต่ละวัน

ส่วนพรรคเพื่อไทย มีเป้าหมายเดียวไม่เปลี่ยนแปลงที่ต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการกดดัน คสช. เพราะในเมื่อร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน คสช.ในฐานะผู้กำหนดกระบวนการการร่างรัฐธรรมนูญต้องแสดงความรับผิดชอบ แต่ถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านขึ้นมา พรรคเพื่อไทยย่อมตกที่นั่งลำบากเหมือนกัน โดยจะถูกทำลายความชอบธรรมจากฝ่่าย คสช.

ดังนั้น ศึกประชามติครั้งนี้จึงไม่มีใครยอมใคร และทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ แอสตัน วิลล่า พรีเมียร์ลีก วันนี้ 30 ธ.ค.68