posttoday

รธน.สกัดรัฐก้าวก่ายเอกชน กกร.ให้เลือกตั้งตามโรดแมป

27 กรกฎาคม 2559

กรธ.-สนช.-กกต.-กกร. จัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้ เรื่อง “สาระสำคัญและประเด็นสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ” ณ ห้องนภาลัยรูม โรงแรมดุสิตธานี

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์ 

คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จัดสัมมนาเผยแพร่ความรู้ เรื่อง “สาระสำคัญและประเด็นสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ” ณ ห้องนภาลัยรูม โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพมหานคร

โดย มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. บรรยายว่า ร่างรัฐธรรมนูญถือเป็นกรอบกติกา ขื่อแปบ้านเมือง ซึ่งทุกประเทศต้องมี ไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือจารีตประเพณี เพราะเป็นข้อตกลงสูงสุด ทว่า แต่ละประเทศมีความจำเป็นตามวิถีชีวิต วัฒนธรรม ปัญหาแตกต่างกัน

“เรามักเผชิญปัญหาว่า รัฐธรรมนูญมีอยู่มันเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ นักวิชาการมักอ้างว่าประเทศไหนไม่มี ประเทศอื่นไม่เขียนไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการพูดแบบท่องตามตำรา เรียนแบบจำ ประเทศไทยมีปัญหาของเรา เราไม่ยอมรับเสรีภาพในเรื่องการพกอาวุธปืนก็ไม่เขียน อะไรคือศาสนาประจำชาติเราไม่เขียน เพราะอดีตได้เขียนไว้อย่างแยบยล ดังนั้น รัฐธรรมนูญแต่ละประเทศก็ทำเพื่อแก้ปัญหาของประเทศนั้น”

มีชัย ยอมรับว่า รัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติได้มีการตั้งคำถามเพื่อดูว่าประเทศมีปัญหาอะไร และ กรธ.พบ อาทิ เรื่องสิทธิเสรีภาพประชาชน ความเหลื่อมล้ำ ในทางกฎหมายแม้ทัดเทียม เช่น คนอายุ 60 ปี ได้รับเงินสมทบจากรัฐบาล 800 บาท แต่ได้ตัดเฉพาะเศรษฐีเพื่อเอามาเพิ่มให้คนจน

นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่ายังมีเรื่องการศึกษา จึงให้เรียนฟรีตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาลโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเสมอกัน และทำให้เป็นหลักสูตรใหม่ ให้เด็กได้เรียนตามความถนัด เพราะเชื่อว่าถ้าทำอย่างนั้นจะมีความสุขและประสบความสำเร็จและยืนยันว่ารัฐธรรมนูญนี้ไม่มีการยกเลิกเรื่องบัตรทอง

ขณะเดียวกัน ปัญหาต่อมา คือ เศรษฐกิจ กรธ.ยอมรับไม่มีความรู้เรื่องดังกล่าว แต่รู้ว่าอุปสรรคคนทำธุรกิจ คือ กฎเกณฑ์รัฐ การเข้ามายุ่งกับเจ้าของธุรกิจมากเกินไป เพราะสิ่งแรกที่รัฐทำ คือ กฎหมาย ใครทำอะไรต้องมาขออนุญาต ทำตัวเชี่ยวชาญ เป็นห่วงเป็นใย

“รัฐก้าวก่ายเกินไปไม่ว่ากฎหมายเกินจำเป็น ก้าวก่ายเข้ามาแข่งขัน แต่รัฐทำอะไรไม่เคยขาดทุน เพราะไม่เคยมีต้นทุน ดังนั้น จึงห้ามรัฐเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจ เพราะอัตราเสี่ยง 90% ต่อการเจ๊ง เนื่องจากข้าราชการไม่มีหัวทางด้านธุรกิจ ฉะนั้น รัฐต้องไม่ทำการค้าแข่งกับเอกชน ยกเว้นด้านสาธารณูปโภค

รัฐธรรมนูญนี้อาจเขียนแปลกไปจากรัฐธรรมนูญเก่าๆ ตรงที่แต่เดิมเป็นระบบเศรษฐกิจเสรีอย่างเป็นธรรม แต่คราวนี้ไม่เขียน เพราะเป็นวิวัฒนาการ เขียนเพียงว่าการพัฒนาเศรษฐกิจให้คำนึงถึงการพัฒนาที่ประชาชนได้รับ นอกจากหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และในการพัฒนาให้คำนึงถึงความสมดุลทางเจริญด้านวัตถุและจิตใจ”

มีชัย ยืนยันว่า ร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้ตัดสิทธิปัจเจกชนหรือชุมชนออก แต่อาจเขียนแปลกจากของเก่าๆ เพราะอะไรเคยมีเคยได้ย่อมต้องมี และการร่าง กรธ.ไม่ได้คิดกันเองเพียง 21 คน แต่ละคนได้ไปถามผู้รู้ทั้งเศรษฐกิจ ศาสนา และวัฒนธรรม

ด้าน อิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานคณะกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวภายหลังร่วมรับฟังการสัมมนาว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะต้องมีการรณรงค์ให้สมาชิกในคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนร่วม 3 สถาบัน (กกร.) มาออกเสียง เพราะหากประเทศไทยมีการจัดการเลือกตั้งเกิดขึ้นจะช่วยลดแรงกดดันจากนานาชาติได้มาก

ส่วนกรณีที่หากส่วนใหญ่ลงประชามติว่า ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเรื่องนี้จะต้องมีการประเมินสถานการณ์ต่อไปอย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันแล้วว่า จะให้มีการเลือกตั้ง ส่วนความกังวลของภาคเอกชนในขณะนี้ก็คือภาวะเศรษฐกิจโลก การก่อการร้ายที่เพิ่มมากขึ้นในยุโรปหลายประเทศ

อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนยังประมาณการเศรษฐกิจไทยในปีนี้อยู่ที่ระดับ 3-3.5% เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่ยังคงออกมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาพืชผลทางการเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น ข้าว น้ำตาล และยางพารา เป็นต้น

“รัฐธรรมนูญไม่ว่าจะเป็นฉบับใดเมื่อออกมาใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการก็คือ ต้องช่วยให้บ้านเมืองสงบ นโยบายเศรษฐกิจต่อเนื่องและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจดำเนินธุรกิจไปได้เพราะขณะนี้ประเทศไทยจะต้องแข่งขันกับประเทศอื่นด้วย ดังนั้นการทำงานร่วมกับระหว่างภาครัฐและเอกชนจะต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน”

ขณะที่ เจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้ความเห็นว่า ไม่ว่าผลของการรับร่างธรรมนูญจะเป็นอย่างไร เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อภาคเอกชนทั้งไทยและนักลงทุนต่างชาติ แต่สิ่งที่ภาคเอกชนให้ความสนใจมากที่สุด คือ รัฐบาลควรเดินไปตามโรดแมปที่วางไว้

“หากเป็นไปตามโรดแมปเชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจแน่นอน สำหรับนักลงทุนต่างชาติเองก็คงสนใจโรดแมปมากที่สุด มีการเลือกตั้งในปี 2560 สำหรับข้อกังวลในการลงประชามติเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรดูแล อย่างไรก็ตามแม้ผลจะออกมาเป็นอย่างไรแต่ภาคเอกชนคงต้องดำเนินธุรกิจต่อไปอยู่แล้ว”

วัลลภ วิตนากร รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า ภาคเอกชนมองว่าสิ่งสำคัญคือรัฐบาลควรดำเนินการตามโรดแมปกำหนดให้มีการเลือกตั้งในปี 2560 แต่ขณะนี้เชื่อว่ารัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว เพราะเอกชนมีความเชื่อว่าไม่มีปัญหาในภาพรวม

ขณะเดียวกันร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ความสำคัญด้านการศึกษามากขึ้นโดยครอบคลุมถึงระดับชั้นอนุบาล การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ลดขั้นตอนการอนุมัติของภาคเอกชน โดยให้มีการกำหนดเวลาที่ชัดเจน และปิดช่องทางการคอร์รัปชั่น

อย่างไรก็ดี ระหว่างงานสัมมนายังได้มีผู้เข้าร่วมรับฟังสอบถามประเด็นการแก้ไขเรื่องคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะเรื่องการตั้งศาล มีชัย ระบุว่า ไม่ต้องกังวล เพราะได้เขียนในมาตรา 63 รัฐต้องสนับสนุนส่งเสริมประชาชนรวมตัวรณรงค์ต่อต้าน หรือชี้เบาะแส และได้รับการคุ้มครองจากรัฐ และมาตรา 278 ให้ดำเนินการออกกฎหมายเสนอไปสนช. ภายใน 240 วัน นับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ


 

ข่าวล่าสุด

สรุป 5 เทรนด์ธุรกิจปี 2026 คู่มืออยู่รอดของคนทำมาค้าขาย