posttoday

ข้าว...ใจ

21 กรกฎาคม 2559

โดย...อธิกร ศรียาสวิน

โดย...อธิกร ศรียาสวิน

ได้มีโอกาสเดินทางลงพื้นที่ ไปดูกระบวนการทำ “ข้าวฮาง”

หลายๆ ท่านอาจยังไม่ทราบว่า “ข้าวฮาง” คืออะไร?

ข้าวฮางเป็นกระบวนการทำข้าวงอก เพื่อกระตุ้นให้เกิดสารกาบาเพิ่มวิตามิน แร่ธาตุและสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเข้าไปในเมล็ดข้าว ด้วย 4 กระบวนการ คือ แช่ นึ่ง ผึ่ง และสี

กระบวนการแช่ คือนำข้าวเปลือกอินทรีย์ซึ่งปลูกแบบปลอดสารเคมีที่เก็บเกี่ยวได้ ไปแช่น้ำ 1 คืน และผึ่งไว้ให้เกิดกระบวนการงอกเป็นต้นอ่อน เพื่อกระตุ้นให้เกิดสารอาหารดีๆ อย่างเช่นสารกาบา และวิตามินต่างๆ ขึ้นในเมล็ดข้าว จากนั้นก็นำไปนึ่งเพื่อจัดเก็บสารอาหารให้คงไว้ และนำไปผึ่งให้แห้ง ก่อนที่จะนำไปสีออกมาเป็นข้าวสาร

จากผลการวิจัย ข้าวฮางนี้มีสารกาบามากกว่าข้าวกล้อง 15 เท่า โดยสารกาบานี้ ช่วยรักษาระบบประสาท ดูแลสมดุลในสมอง ชะลอความชรา ช่วยขับเอมไซน์ขจัดสารพิษ มีวิตามินบีมากกว่าข้าวทั่วไป และมีไฟเบอร์ชั้นดี สูงกว่าข้าวขาว 15-20 เท่า

ซึ่งกระบวนการผลิตทั้งหมดนั้นเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวภูไท จ.สกลนคร

แม้ข้าวฮางจะมีการทำอยู่ทั่วๆ ไป แต่ที่บ้านกุดจิกนี้ เขาเป็นกลุ่มชาวบ้านเกษตรกรที่มารวมตัวกันทำข้าวฮาง โดยมีความตั้งใจอยากจะทำให้ข้าวฮางกลายเป็นสินค้าของชุมชน

และเมื่อความคิดดีๆ นี้ถูกนำมาสานต่อ โดยมีพี่เลี้ยงมาช่วยดูแล ก็ทำให้สามารถพัฒนาสินค้าไปได้อีกขั้น

พี่เลี้ยงที่ว่านี้ คือทีมงานจากโครงการไปรษณีย์เพิ่มสุข ที่เข้ามาช่วยให้แนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก่อร่างสร้างแบรนด์ เพิ่มแขนขาทางการตลาด จากข้าวฮางแบบบ้านๆ ก็พัฒนาจนกลายเป็นแบรนด์ “ข้าวฮางทิพย์” ที่ผ่าน มาตรฐานอาหารปลอดภัย GAP โดยมี อย.รับรองกระบวนการผลิตที่สะอาดถูกอนามัย

กระบวนการทำงานพัฒนามาตรฐานสินค้า และสร้างแบรนด์ทั้งหมดนั้นใช้เวลากว่าสองปี ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่น ส่งเสริมยอดขายข้าวฮางบ้านกุดจิกได้เป็นอย่างดี จากยอดขายเดือนละไม่กี่สิบกิโล ในราคาแสนถูก ปัจจุบัน ข้าวฮางทิพย์มียอดขายเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลายร้อยกิโลต่อเดือน และมียอดสั่งซื้อนับพันกิโลต่อปี และขายได้ราคาที่สูงขึ้น

ส่งผลต่อเนื่องให้ชุมชนบ้านกุดจิกเข้มแข็งขึ้น โดยมีทีมงานจากไปรษณีย์ไทยเป็นพี่เลี้ยง เป็นผู้ช่วยเหลือ ด้วยการสร้างแบรนด์ เพิ่มช่องทางการจำหน่าย การให้บริการขนส่ง รวมทั้งส่งเสริมการขายผ่านที่ทำการ และช่องทางออนไลน์ ในโครงการอร่อยทั่วไทยของไปรษณีย์ไทย

อีกโครงการพัฒนาเรื่องข้าวที่น่าสนใจ มาจากประเทศญี่ปุ่น

ที่หมู่บ้านอินากาดาเตะ ซึ่งตั้งอยู่ในชนบท ทางตอนเหนือของเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น

ปัญหามีอยู่ว่า หมู่บ้านแห่งนี้นั้นกำลังจะล่มสลาย เพราะผู้คนไม่มีอาชีพ คนรุ่นใหม่ต่างย้ายออกจากหมู่บ้านเพื่อไปทำงานในเมืองใหญ่

จากพื้นที่ที่เคยเป็นแหล่งปลูกข้าวชั้นดี แต่วันนี้กลับไม่มีใครสนใจมาซื้อข้าวไปบริโภค

ผู้นำของชุมชนมองเห็นปัญหานี้ แล้วลองวิเคราะห์เพื่อหาวิธีแก้ไขใช้ความคิดสร้างสรรค์มาแก้ปัญหากลายเป็นโครงการที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วนั่นคือ โปรเจกต์ Rice Code

โครงการนี้เขาใช้จุดแข็งของหมู่บ้านในการเป็นแหล่งผลิตข้าวที่มีชื่อเสียงตั้งแต่โบราณกาล

เริ่มต้นโครงการด้วยการรณรงค์ปลูกข้าวในพื้นนาขนาดใหญ่ โดยออกแบบพื้นที่ด้วยการใช้พันธุ์ข้าวหลายๆ ชนิด หลายๆ สี เช่น ข้าวสีม่วง สีส้ม สีเหลือง สีแดง สีเขียว นำมาปลูกผสมกัน โดยวางแผนการปลูกให้เมื่อยามที่ข้าวออกรวง จะปรากฏโฉมนาข้าวออกมาเป็นภาพงานศิลปะแบบกราฟฟิตี้บนพื้นนาข้าว

เมื่อข้าวออกรวง ภาพความงดงามในนาผืนใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตาชาวโลก เป็นลวดลายการ์ตูนและมังงะชื่อดังต่างๆ อาทิ ลายซามูไร ลายสาวกิโมโน ลายอุลตร้าแมน สารพัน

แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้น นั่นก็คือ ทีมงานการตลาดใช้ภาพนาข้าว ภาพการ์ตูน ภาพกราฟฟิตี้เหล่านั้น มาเป็นต่อยอด ด้วยการสร้างแอพพลิเคชั่น ที่ชื่อว่า Rice Code ที่จะทำงานเมื่อคุณเปิดแอพพลิเคชั่นนี้ในมือถือ และเล็งกล้องมือถือไปที่ภาพกราฟฟิตี้ข้างต้น เทคโนโลยีแบบ AR Code จะสามารถตรวจจับภาพ กราฟฟิตี้บนนาข้าวนี้ขึ้นมา และจะสั่งให้สมาร์ทโฟนของคุณเชื่อมต่อหน้าจอมือถือ ไปยังเว็บไซต์ที่สามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ข้าวสารชนิดต่างๆ ซึ่งเป็นสินค้า Otop ของหมู่บ้านได้แบบอัตโนมัติ

เรียกได้ว่า มันเป็นเทคโนโลยีที่สามารถส่งต่อผู้ใช้ นักท่องเที่ยว และผู้ที่สนใจ ไปยังเว็บอี-คอมเมิร์ซ เพื่อขายข้าวผ่านระบบออนไลน์ได้แบบง่ายๆ โดยเจ้าของสมาร์ทโฟนสามารถสั่งซื้อข้าวชนิดต่างๆ ของหมู่บ้านได้ จ่ายเงินผ่านระบบออนไลน์ และข้าวถุงเหล่านั้นก็จะถูกนำส่งไปให้ถึงประตูบ้านอย่างสุดแสนจะสะดวกสบาย

การทำนาข้าวเป็นลวดลายการ์ตูน ลายกราฟฟิตี้นี้ นอกจากจะเกิดกระแสในเรื่องของการแชร์ภาพไปในสื่อออนไลน์ จนหมู่บ้านอินากาดาเตะ โด่งดังกลายเป็นที่รู้จัก เกิดรายได้จากการท่องเที่ยว ขายของที่ระลึก รวมทั้งเกิดการค้าขายบนออนไลน์ มีเม็ดเงินไหลเข้าหมู่บ้าน

โด่งดังถึงขั้นที่ต้องมีการสร้างสถานีรถไฟเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ที่หลั่งไหลเดินทางมาชมนาข้าวภาพกราฟฟิก มังงะ สื่อมวลชนต่างให้ความสนใจ เผยแพร่เรื่องราวภาพนาข้าว รวมทั้งแอพพลิเคชั่น Rice Code ออกไปอย่างแพร่หลาย จนแคมเปญการตลาดชิ้นนี้ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ

ผลที่ตามมาก็คือ รายได้ที่ไหลกลับเข้าพื้นที่ การสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน แก้ปัญหาต่างๆ ได้โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น ผสานกับแนวคิดทางการตลาดเป็นเครื่องมือทำงาน สองกรณีศึกษาเรื่องข้าวนี้น่าจะกระตุ้นให้เราได้เห็นว่า หลายสิ่งดีๆ นั้นอยู่ใกล้ๆ ตัวเรา

เพียงแต่เราต้องใส่ใจในการคิดแบบลงรายละเอียด และใช้พลังความคิดสร้างสรรค์มาช่วยต่อยอดให้เกิดขึ้น

ข่าวล่าสุด

ญี่ปุ่นเตรียมเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของโลกอีกครั้ง หลังเหตุฟุกุชิมะ 15 ปี