เปิดใจ "สมชาติ ธรรมศิริ" จากบิ๊กสภาคืนสู่สามัญ
"ไม่เคยคิดนะ เพราะตอนทำงานเรายึดตามกรอบของกฎหมาย และที่สำคัญจากประสบการณ์ เราทราบกันดีว่าการเข้ามารับงานในช่วงภาวะที่ไม่ปกติ เมื่อสถานการณ์ผ่านไปเรามีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเข้ามา เรามักจะถูกตรวจสอบอย่างหนัก"
โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย
รัฐสภากลายเป็นหนึ่งในองค์กรของรัฐที่กำลังอยู่ในความสนใจของประชาชน เพราะนับตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ ปรากฏว่าเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสำนักนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน ซึ่งเป็นการดำเนินการที่เกิดไม่บ่อยนัก
กระทั่งล่าสุด “พรเพชร วิชิตชลชัย” ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะผู้นำสูงสุดของฝ่ายนิติบัญญัติ มีคำสั่งให้ผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ออกจากตำแหน่งถึง 2 คน หนึ่งในนั้น คือ สมชาติ ธรรมศิริ อดีตที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาฯ จากกรณีใช้ตำแหน่งประธานสโมสรรัฐสภาอนุมัติเงิน จำนวน 3.4 ล้านบาท ให้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ยืมเพื่อดำเนินโครงการจัดสร้างวัตถุมงคล ซึ่งตามขั้นตอนของสภายังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้
ในจังหวะนี้โพสต์ทูเดย์ได้มีโอกาสสนทนาเปิดใจกับสมชาติ เพื่ออธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเริ่มต้นว่า “เรื่องนี้เริ่มมาจากการที่มีข้าราชการไปยื่นหนังสือร้องเรียนกับประธาน สนช. ซึ่งทราบว่าข้าราชการคนนี้คงมีความไม่พอใจผมมาก่อน เพราะว่าในหนังสือร้องเรียนเท่าที่ได้เอกสารมา เขาเคยเป็นผู้ที่ถูกผมเสนอให้ลงโทษในการสอบสวนวินัยเรื่องการจัดซื้อนาฬิกาในรัฐสภา”
“ประธาน สนช.สั่งตั้งกรรมการสอบสวน สอบข้อเท็จจริงประมาณ 30 วัน จากนั้นดำเนินการสอบทางวินัยต่ออีกประมาณ 100 วัน ผลออกมาบอกว่าผมกระทำความผิดในหลายประเด็นว่าคำสั่งตั้งกรรมการสโมสรรัฐสภาไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
“ในส่วนนี้เมื่อครั้งท่านจเร พันธุ์เปรื่อง เป็นเลขาธิการสภาฯ ก็ได้ดูอยู่แล้ว ก็มองกันว่าช่วงนั้นหลังจากการรัฐประหารไม่มีรัฐสภา ไม่มีรัฐธรรมนูญ และกรรมการสโมสรรัฐสภา ซึ่งเดิมเป็น สส.และ สว. มันก็พ้นสภาพไปทั้งหมด สนช.ก็ยังไม่ได้ตั้งขึ้นมา แต่ว่าสโมสรรัฐสภาเป็นทรัพย์สินและกิจการของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ มันจะปล่อยให้โดยไม่มีใครดูแลเลยไม่ได้ เวลานั้นก็มีเรื่องร้องเรียนมายังท่านจเร ก็เลยตั้งผมไปเป็นประธานกรรมการและให้มีคณะกรรมการสโมสรรัฐสภาเพื่อให้มีการดำเนินการต่อ”
จากนั้น อดีตที่ปรึกษาด้านกฎหมาย เล่าว่า ต่อมาสวัสดิการของข้าราชการรัฐสภามีเงินเหลือจำนวนไม่มาก ทำให้มีความจำเป็นที่ต้องหารายได้เข้าสวัสดิการข้าราชการรัฐสภา จึงเริ่มคิดถึงการดำเนินการจัดสร้างวัตถุมงคลเพื่อให้สวัสดิการฯ มีรายได้เข้ามา
“ถ้าไม่ทำ สวัสดิการฯ จะไม่มีรายได้ สวัสดิการฯ เงินร่อยหรอมาก เหลือแค่ประมาณ 2 แสนบาท ซึ่งไม่พอจัดงานและช่วยงาน จึงจำเป็นต้องหาเงินมาเติม ซึ่งในปี 2552 ก็เคยมีการจัดสร้างพระ ใช้เวลาจำหน่าย 5-6 ปีถึงจะหมด เงินก็เหมือนน้ำซึมบ่อทราย อย่างกรณีนี้ก็ยังจำหน่ายได้เรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าไม่สามารถจำหน่ายได้เลย”
“การสร้างพระน่าจะเป็นทางออกดีที่สุด เพราะถ้าไปหาเงินด้วยวิธีการอื่น เช่น การจัดกอล์ฟการกุศล มันต้องไปรบกวนคนอื่น ซึ่งเป็นความไม่เหมาะสมที่ข้าราชการต้องไปทำอย่างนั้น การสร้างวัตถุมงคล ผู้ที่มีจิตใจศรัทธาเขาสามารถมาเช่าบูชาได้เรื่อยๆ”
“รายได้ที่เข้ามาทยอยส่งคืนสโมสรรัฐสภาไป มีบางส่วนเข้ามาอยู่ในสวัสดิการฯ ผมในฐานะประธานกรรมการสโมสรก็ลงนามในฐานะผู้แทนของคณะกรรมการสโมสรทั้งหมดส่งเรื่องไปที่สำนักการคลังที่ดูแลการเงินของสโมสรรัฐสภา เงินรายได้ที่มาจากการเช่าพระเข้ามาที่สวัสดิการฯ และทยอยส่งคืนให้กับสโมสรรัฐสภา ซึ่งจำหน่ายได้เงินประมาณ 1 ล้านบาท”
แสดงว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมใช่หรือไม่? สมชาติ ตอบว่า “ผมคิดว่า ...ไม่ทราบว่าเป็นความเข้าใจผิดหรือสำนวนสอบสวนมีมุมมองต่างกัน แต่ผมมั่นใจว่าสิ่งที่ผมทำนั้นถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และนอกเหนือไปจากที่ทำถูกกฎหมายอย่างเดียวแล้ว ยังทำถูกต้องตามประเพณีปฏิบัติด้วย”
“อาจจะไปขัดผลประโยชน์หลายๆ ฝ่าย เพราะเดิมร้านค้าในสโมสรฯ จะเป็นผู้จัดอาหารให้กับสภาและคณะกรรมาธิการต่างๆ แต่ในยุคของผมได้ให้เป็นความสมัครใจของคณะกรรมการและสมาชิกรัฐสภา ถ้าเขาจะใช้บริการของสโมสรฯ ก็ยินดี แต่ถ้าอยากใช้ภายนอกมาจัดอาหารก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่าตามใจผู้มาใช้บริการ”
“ร้านค้าผมก็จัดระเบียบใหม่ เดิมทีเงินที่เข้าสโมสรฯ จะมีรายใหญ่อยู่ร้านหนึ่งที่เป็นคนรับผิดชอบทางสโมสรฯ แต่บังเอิญร้านเล็กต้องไปจ่ายกับร้านใหญ่อีกที ผมมองว่าลักษณะนี้มันเหมือนกับเป็นนายหน้า ซึ่งไม่ควรเกิดที่สโมสรฯ ร้านค้าทุกรายควรเป็นคู่สัญญากับสโมสรฯ เองโดยตรง”
สุดท้าย สมชาติ ยอมรับจากหัวใจว่า ไม่เคยคิดว่าจากคนที่เคยทำหน้าที่ตรวจสอบคนอื่นจะกลายมาเป็นคนถูกตรวจสอบเองจนต้องออกจากตำแหน่ง ทั้งที่มีความมั่นใจมาตลอดว่าตัวเองได้ดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมาย
“ไม่เคยคิดนะ เพราะตอนทำงานเรายึดตามกรอบของกฎหมาย และที่สำคัญจากประสบการณ์ เราทราบกันดีว่าการเข้ามารับงานในช่วงภาวะที่ไม่ปกติ เมื่อสถานการณ์ผ่านไปเรามีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเข้ามา เรามักจะถูกตรวจสอบอย่างหนัก ยกตัวอย่าง เมื่อครั้งจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ผมต้องเป็นคนแก้ต่างแทนสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ในเรื่องการพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญ ต้องใช้เวลา 5-6 ปีเหมือนกันกว่าจะจบเรื่อง”
“เรื่องนี้เช่นเดียวกัน เมื่อเราเข้ามารับงาน ไม่ว่าจะเป็นงานสร้างสภาใหม่ งานสโมสรฯ หรืออื่นๆ เราทำใจอยู่แล้วว่าคงต้องถูกตรวจสอบอย่างหนักเช่นเดียวกันจากสภาและวุฒิสภาที่มาตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เราจึงทำงานอย่างระมัดระวัง”
“ถ้าถามว่ากระทบกระเทือนกับขวัญของข้าราชการสภาหรือไม่ ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนมีความหนักแน่นจะไม่ได้รับความกระทบกระเทือน แต่แน่นอนว่าอาจมีความรู้สึกสะเทือนใจกันบ้าง เพราะคนมีจิตใจและเลือดเนื้อ พอมาเห็นหลายคนที่ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ต้องมาประสบแบบนี้ มันอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจหรือเปล่าในการทำงานต่อๆ ไป เพราะแม้กระทั่งการทำงานตามกฎหมายและกรอบประเพณีปฏิบัติที่ผ่านมาก็อาจยังต้องรับผิดได้” สมชาติ ทิ้งท้าย


