ว่าด้วย ‘หลี่’
ใครเคยดูซีรี่ส์ย้อนยุคเกาหลีบ่อยๆ น่าจะเคยสังเกตเห็นว่าพระราชาเกาหลีมักไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จสักเท่าไร
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
ใครเคยดูซีรี่ส์ย้อนยุคเกาหลีบ่อยๆ น่าจะเคยสังเกตเห็นว่าพระราชาเกาหลีมักไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จสักเท่าไร คอยจะถูกพวกขุนนางคัดค้านหรือไล่บี้เสมอๆ ที่จริงผมก็เคยสงสัย แต่พอจะรู้ว่าการเมืองยุคศักดินาเกาหลีแบ่งเป็นฝักฝ่ายกันเยอะ ขุนนางมีบทบาทสูง ขนาดที่ว่าขุนนางมีอำนาจปลดพระราชาที่อีกพรรคคอยถือหางได้
ช่วงนี้ผมศึกษาตำราพิธีการของสำนักขงจื๊อเลยรู้ลงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ขุนนางเกาหลีแตกเป็นพรรคแต่แรกไม่ใช่เพราะแย่งอำนาจ แต่เพราะตีความตำราพิธีการต่างกัน ตำรานี้ชื่อว่า จูจื่อเจียหลี่ แต่งโดยจูซี ปราชญ์ชาวจีนสมัยราชวงศ์ซ่งแห่งสำนักหญูใหม่ หรือสำนักหลี่เสวีย ตำรานี้เป็นคู่มือในการประกอบพิธีกรรมในครัวเรือน แม้ราชสำนักก็ยังต้องใช้อ้างอิง
ที่จริงแล้วตำรานี้ก็แค่คู่มือชาวบ้านเมืองจีนก็มีกันทั่วไป ใช้ประกอบในการแต่งงาน ทำงานศพ ฯลฯ แต่ชาวโชซอนจริงจังกับพิธีกรรมมาก เพราะถืออย่างสำนักหญูที่เมืองจีนว่า พิธีกรรมถูกต้อง ตำแหน่งชื่อเสียงถูกต้อง อะไรๆ ในโลกหล้าก็จะถูกต้องไปด้วย
ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่าสำหนักหญูหมายถึง สำนักปรัชญาที่ศึกษาและปฏิบัติตามครรลองของขงจื๊อ มหาราชญ์จีนโบราณ ครรลองของขงจื๊อ บรรจุในคัมภีร์ 5 ตำรา 4 อันได้แก่ ซือจิง (กวีนิพนธ์) ซูจิง (รัฐประศาสนศาสตร์) หลี่จี้ (จารีต) อี้จิง (โหรา) และชุนชิว (พงศาวดาร) เหล่านี้คือตำรา 5 ส่วนคัมภีร์ 4 คือ ต้าเสวีย (มหาสิกขาว่าด้วยปรัชญา) จงยง (มัชฌิมาปฏิปทา) หลุนอวี่ (วาทะขงจื๊อ) และเมิ่งจื่อ (วาทะปราชญ์เม่งจื๊อ) นอกจากนี้ยังมีตำราอีกสารพัด เช่นจำพวกกจารีตศึกษา อย่างตำราโจวหลี่ ตำราอี้หลี่
ต่อมาจูซีดัดแปลงแนวคิดสำนักหญูเข้ากับศาสนาต้าว ศาสนาพุทธ กลายเป็นสำนักหญูแนวใหม่ คือสำนักหลี่เสวีย คำว่า “หลี่” หมายถึงหลักการ “เสวีย” หมายถึงศึกษา หมายถึงสำนักที่ศึกษาหลักการของขงจื๊อแฝงด้วยหลักการแห่งฟ้า ดิน และมนุษย์
ส่วนใหญ่แล้วพวกบัณฑิตสำนักหญูคนว่าตัวเองเป็นผู้ถือมัชฌิมาปฏิปทา เป็นผู้อยู่ตรงกลางระหว่างฟ้าและดิน คือมนุษย์ แนวคิดนี้มนุษย์เป็นสุดยอดของทุกสิ่งบนโลก ไม่เชื่อในผีสาง เทวดา แต่ทำบัดพลีเซ่นไหว้บรรพชนเพื่อแสดงกตัญญุตาธรรมเท่านั้น คือ “ทำพอเป็นพิธี” นั่นเอง
ในยุคโชซอน ชาวบ้านถือผีถือฟ้า บัณฑิตคนชั้นสูงถือหลักการของจูซี ส่วนศาสนาพุทธถูกกดขี่เป็นความเชื่ออันเหลวไหล บัณฑิตโชซอนที่ไปเป็นทูตที่ญี่ปุ่นบอกกับคนที่นั่นว่า ชาวโชซอนนับถือหลักของท่านจูซี บัณฑิตคนไหนเขียนบทความอ้างศาสนาพุทธจะถูกขับไปแดนไกล ดังนั้นการรู้ในหลักของจูซี หรือสำนักหลี่เสวียจึงสำคัญมาก ถึงขนาดต้องเรียนการตีความรูปแบบการประกอบพิธีกรรมกันเป็นหลักเพื่อจะนำไปสอบจอหงวน
ข้อดีก็คือคนเกาหลีประกอบพิธีกรรมแบบจีนโบราณได้สุขุมคัมภีรภาพ ต่างกับคนจีนสมัยนี้ที่กระโดกกระเดก พอจะจัดพิธีก็เปิดตำราจูจื่อเจียหลี่เลียนแบบคนโบราณ แต่ทำได้ไม่เหมือนเพราะ
จิตวิญญาณถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นใครอยากเห็นการบวงสรวงที่ดูแล้วขนลุกต้องไปดูที่เกาหลี
ข้อเสียก็คือคนเกาหลียึดติดในแบบแผนเกินไป (รวมถึงทัศนะที่อนุรักษนิยมต่อชนชั้น องค์กร และเพศ) ในยุคโชซอนเดิมพวกขุนนางบัณฑิตสำนักหลี่เสวียต่างก็รักใคร่กันดี เพราะต้องสามัคคีต่อต้านพุทธศาสนา แต่ต่อมาเริ่มแตกคอเพราะตีความพิธีกรรมต่างกัน ตอนแรกแตกเป็น 2 ค่าย ต่อมาที่มีอยู่ 2 แตกกันเองเป็น 4 จาก 4 เป็น 8 ราวกับอะมีบา ด้วยเหตุผลที่หยุมหยิมมากๆ เช่น เถียงกันว่าควรจะไว้อาลัยงานพระศพกี่วันจึงจะถูกต้องตามตำราพิธีการ
แตกกันมากๆ ก็แย่งอำนาจ ชิงฆ่ากันเอง พอหนักเข้าก็ส่งลูกสาวเข้าวังเป็นพระมเหสีบ้าง พระสนมบ้าง หนักเข้าก็ถึงขนาดยกเจ้าชายที่ตัวเองหนุนเป็นพระราชา พออีกฝ่ายได้ทีก็ตลบหลังปลดพระราชาของอีกฝ่าย แล้วตั้งลูกไล่ของตัวเองขึ้นมา หรือไม่ก็วางยาปลงพระชนม์เอาดื้อๆ พวกองค์ชายเล็กๆ น้อยๆ ต่างก็ถูกร่างแหไปด้วยเพราะการแตกเป็นก๊กเป็นเหล่าของพวกบัณฑิต
ยังไม่นับการกวาดล้างบัณฑิตฝ่ายตรงข้ามยามเสนอฎีกาแล้วเพลี่ยงพล้ำ อย่างร้ายที่สุดคือตายทั้งเหล่า อย่างดีก็หนีไปตั้งหลัก กั๊กไหนฉลาดหน่อยก็ตั้งโรงเรียนสอนแนวคิดตัวเองให้แพร่หลาย
พระราชาบางองค์เป็นคนชั่วร้ายทรราชอย่างที่สุด ฆ่าฝ่ายตรงข้ามในวังทั้งต่อหน้าและลับหลัง ก็ยังได้รับการขานพระนามอย่างดิบดี เช่น พระเจ้าอินโจ แห่งราชวงศ์โชซอน กระทำชั่วร้ายสารพัด แต่เพราะทรงหนุนพวกบัณฑิตกลุ่มหนึ่งให้เป็นใหญ่ในราชสำนัก พอสวรรคตแล้วพวกนี้จึงถวายพระนามว่า “อินโจ” แปลว่าบูรพกษัตริย์ผู้ทรงมนุษยธรรม ซึ่งขัดแย้งกับหลักฐานทางประวัติศาสต์มาก และคนปัจจุบันทราบดีว่าพระองค์เป็นวิญญูชนจอมปลอม
ก่อนยุคปลดปล่อยหนังสือที่พิมพ์แพร่หลายที่สุดในจีนคือ “หลุนอวี่” (ภาษาไทยแปลตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ใช้ชื่อว่าสุภาษิตขงจู๊) เป็นตำรารวมวาทะคำสอนสุภาษิตของขงจื๊อ ส่วนเล่มที่แพร่หลายรองลงมาน่าจะเป็นตำราพิธีการประจำบ้าน หรือ เจียหลี่ แต่งโดย จูจื๊อ ปราชญ์สมัยราชวงศ์ซ่ง แห่งสำนักขงจื๊อใหม่ หรือหลี่เสวีย ที่เรียกว่าขงจื๊อใหม่เพราะคำสอนเดิมของขงจื๊อไม่เน้น
ว่ากันว่าจีนก่อนยุคใหม่ถูกชี้นำโดยตำรานี้อย่างมาก พิธีการตั้งแต่เติบโตยันตายต้องพึ่งพาตำรานี้ แต่พอจีนเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว หนังสือที่ขายดีที่สุดคือคติพจน์ประธานเหมา ส่วนเจียหลี่กลายเป็นตำราในประวัติศาสตร์ที่คนแทบไม่ได้ใช้ ส่วนหลุนอวี่เริ่มมีการฟื้นฟูความนิยมกันอีกครั้ง เพราะจีนกำลังไปโลดทางวัตถุ แต่กลับเจอทางตันด้านจิตวิญญาณ ผู้คนไร้มารยาท ขาดการปฏิบัติที่เหมาะสมระหว่างกัน
อันที่จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องโหยหาความเคร่งครัดจารีตแบบเดิมๆ เพียงแค่สนใจมนุษยธรรมกันบ้างก็พอ
คำว่ามนุษยธรรมของสำนักหญู หรือสำนักหลี่เสวีย เรียกว่า “เหริน” ไม่ได้หมายความแค่การเคารพในสิทธิ เคารพในความเป็นมนุษย์แบบ Humanism ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดมาเป็นปฏิปักษ์กับเทวนิยม หรือ Theism โดยเฉพาะ แต่เป็นการถนอมรักมนุษย์ด้วยเมตตาและการุญ โดยตั้งอยู่บนจารีต หรือ “หลี่” และถานันดร หรือ “หมิง” ที่ถูกต้อง ภายใต้แนวคิดที่ว่ามนุษย์เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติแตกต่างกันไปตามนามบัญญัติ คือสถานะในสังคม
เช่น ลูกปฏิบัติต่อพ่อด้วยความเคารพ ไม่ใช่ว่าพ่อกับลูกเป็นคนเหมือนกันแล้วจะมาเล่นหัวกันโดยอ้างความเท่าเทียมกันไม่ได้
อย่างนี้วุ่นวายตายโหง
หรือขุนนางก็ควรปฏิบัติต่อราชันอย่างจงรัก แต่ไม่ยำเกรงหากราชันทำผิด ส่วนราชันก็พึงเอ็นดูขุนนาง แต่ไม่พึงดูหมิ่นหรือเล่นหัวด้วย หาไม่แล้วบ้านเองจะวุ่นวายโกลาหล นี่เป็นกรอบคร่าวๆ ของระบบมนุษยธรรมและจารีตของสำนักหลี่เสวีย
เพียงแต่ว่าเมื่อความโลภเข้าครอบงำแล้ว ต่อให้มีตำราจารีตเจียหลี่ โจวหลี่ อี้หลี่ หรืออีกสารพัดหลี่ก็ไม่พอดัดสันดานมนุษย์ไม่ว่าจะบัณฑิตหรือกสิกร ไม่ว่าจะราชันหรือเสนา ไม่ว่าจะยาจกหรือเจ้าสัว


