posttoday

โพสต์-เเชร์ คิดให้มาก "เด็กเป็นมนุษย์ไม่ใช่ของเล่น"

07 กรกฎาคม 2559

หน้าที่ของพ่อแม่คือการปกป้องพิทักษ์ตัวตนของลูกไว้อย่างดีที่สุด และปล่อยให้เขาเลือกที่จะเปิดเผยเองเมื่อเติบโตขึ้นในอนาคต

โดย..วรรณโชค ไชยสะอาด

ไม่นานมานี้มีคุณแม่ท่านหนึ่งบอกเล่าเรื่องราวอันน่าหวาดผวาของตัวเองและลูกน้อยผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่าถูกหญิงสาวนำรูปลูกของเธอไปแอบอ้างเป็นหลานของตัวเอง พร้อมกับใส่แคปชั่นประกอบรูปภาพต่างๆเป็นตุเป็นตะ ชนิดที่ว่า หากไม่รู้มาก่อนว่าเด็กคนนี้เป็นใคร ทุกคนต้องหลงเชื่อแน่

เหตุการณ์นี้โชคยังดีที่ภาพเด็กไม่ถูกนำไปแสวงหาประโยชน์ทางอื่น แต่ก็ถือเป็นตัวอย่างเตือนภัยสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง ตลอดจนผู้ใช้โซเชียลมีเดีย ว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกคนจะเข้าใจเรื่องสิทธิเด็กและปกป้องพวกเขามากกว่าที่ผ่านมาเสียที

เปลี่ยนความคิดใหม่ "เด็กไม่ใช่ตัวตลก"

พ่อแม่ทุกคนรักลูก และอยากจะโชว์ความรัก น่าชังของเจ้าหนูด้วยกันทั้งนั้น เพราะตามธรรมชาติ มนุษย์ทุกเพศทุกวัย เมื่อประสบความสำเร็จหรือทำอะไรที่คิดเอาเองว่าดี ก็อยากให้คนรับรู้เเละชื่นชมเป็นธรรมดา แต่คุณหลงลืมไปหรือเปล่าว่าเด็ก นั้นไม่ใช่ของเล่น ?

ผศ.มรรยาท อัครจันทโชติ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า คอนเซ็ปต์คำว่าเด็กนั้นเป็นปัญหามาอย่างยาวนาน เมื่อภาพในหัวของคนไทยคือเด็กเป็นสมบัติของฉันและมองว่าเด็กคือคนที่มีอำนาจต่ำกว่า ถึงเวลาแล้วที่ผู้ใหญ่ต้องปรับภาพความเข้าใจใหม่ เคารพในตัวตนของเด็ก พวกเขาไม่ใช่ตัวตลกหรือของสร้างความบันเทิง การนำภาพ คลิปพฤติกรรมไม่ดีหรือขำขันไปเปิดเผยในที่สาธารณะจะส่งผลทำให้เกิดความเครียด อับอาย รู้สึกแย่และมีความนับถือในตัวเองลดลง ซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจและพฤติกรรม

โซเชียลมีเดียไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัว สิ่งที่โพสต์และเผยแพร่ออกไป ไม่มีทางสูญหาย ถึงแม้ว่าจะลบออก แต่ก็อาจมีผู้พบเห็นและเก็บภาพการตัดสินใจที่ผิดพลาดในช่วงเวลาหนึ่งนั้นไว้ทัน

“ถ้าเป็นรูปตัวเอง ไม่มีปัญหา เพราะถือว่าเราเป็นผู้ใหญ่พอที่จะตัดสินใจและยอมรับผลที่ตามมา แต่ถ้าเป็นรูปเด็กๆ ใช่ว่าเขาจะพอใจเสมอไปที่ไว้ใจให้เรา เป็นฝ่ายควบคุม และโพสต์เรื่องราวที่ตัวเองและคนอื่นเห็นว่าขำขันลงไป เด็กๆ อาจจะไม่ชอบ ที่สำคัญเรื่องนั้นอาจส่งผลเสียย้อนกลับมาหาเขาในระยะต่อไป เชื่อเถอะไม่มีใครอยากจะเป็นตัวตลกของใครเเละเด็กก็เหมือนกัน

ตัวอย่างคลาสสิคระดับโลก ในการโพสต์คลิปที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องขำขันของเด็กๆ จนส่งผลเสียอันเลวร้าย เกิดขึ้นเมือปี 2002 เมื่อเด็กมัธยมรายหนึ่งในประเทศแคนาดา โชว์ลีลากวัดแกว่งไม้กอล์ฟเลียนแบบอัศวินเจได ตัวละครในภาพยนตร์สตาร์ วอร์ส  ปัญหาคือเจ้าตัวลืมเก็บคลิป และถูกเพื่อนๆ นำไปเผยแพร่จนถูกแชร์ต่อกว้างขวางไปทั่วโลก มีการตัดต่อ เพิ่มแสงสีเสียง จนกลายเป็นหนึ่งในคลิปไวรัลที่มีผู้รับชมมากที่สุด

“เด็กคนนี้ไม่ได้ต้องการเป็นตัวตลก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือคลิปนั้นทำให้เขาต้องออกจากโรงเรียน เพราะทนกระแสการล้อเลียนจากเด็กๆ ในโรงเรียนและผู้อื่นที่พบเห็นไม่ไหว และถึงแม้จะออกจากโรงเรียนไปแล้ว เจ้าตัวก็ยังมีอาการทางประสาท และซึมเศร้า กระทั่ง 10 ปีผ่านไป นายคนนี้พึ่งให้สัมภาษณ์ว่า ต้องทนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน โชคยังดีที่สามารถก้าวผ่านมาได้ พร้อมกับยอมรับว่าเคยคิดจะฆ่าตัวตายด้วย ฉะนั้นการโพสต์หรือแชร์ภาพเด็กต้องใช้วิจารณญาณ พึงระมัดระวัง รู้เท่าทันสื่อ อย่ามองเป็นเรื่องตลกขำขัน ผลลบของการโพสต์เรามองไม่ชัดเพราะมันอาจไม่ได้เกิดในระยะสั้น”

โพสต์-เเชร์ คิดให้มาก "เด็กเป็นมนุษย์ไม่ใช่ของเล่น"

เลิกเป็นช่างภาพ กลับมาเป็นพ่อแม่

หลักการเคารพสิทธิเด็กนั้นกว้างบนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ ข้อมูลของเด็กทุกคนเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ต้องคิดถึงผลกระทบทั้งระยะสั้นและยาว อะไรที่ไม่เกิดประโยชน์สูงสุดกับเด็กนั่นอาจเป็นปัญหา

พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น โรงพยาบาลรามาธิบดี บอกว่า ผลกระทบจากการสร้างตัวตนให้ลูกในโลกออนไลน์ ก็คือ หลายคนรับความจริงไม่ได้กับธรรมชาติของลูก ที่ไม่ได้น่ารักตลอดเวลาเหมือนที่อยากให้เป็น

“เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนสามารถรับภาวะของการเป็นคนสาธารณะได้ แต่บางคนไม่ใช่ พ่อแม่จอมโซเชียลหลายคนเริ่มมาปรึกษาหลังลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่อพบเจอผู้คนเข้ามาแหย่ ทักทายบ่อยๆ หลังจากเคยเห็นความน่ารักในโลกออนไลน์ นั่นเป็นเพราะว่าธรรมชาติของเขา จริงๆ รู้สึกอึดอัด งอแง และไม่สามารถมีความสุขได้ตลอดเวลากับการพบเจอคนมากมายเข้ามาหยอก พ่อแม่ก็รู้สึกไม่ดี ทำไมลูกฉันเป็นอย่างนี้ ทนไม่ได้ เพราะติดกับภาพความน่ารักตลอดเวลาในเฟซบุ๊ก ซึ่งการเลี้ยงดูแบบนี้ อาจส่งผลต่อพัฒนาการของลูก

พ่อแม่ควรจะกลับไปทำหน้าที่พ่อแม่ ไม่ใช่ช่างภาพหรือสื่อ อย่าให้หน้าที่ของพ่อแม่ถูกกำหนดโดยสังคม โพสต์ภาพไหนแล้วได้ผลตอบรับเยอะ เมื่อมีโอกาสก็จะทำหน้าที่ช่างภาพทันที ตัวอย่างเช่น เวลาเด็กร้องไห้ แทนที่จะเข้าไปปลอบ ดันไปหยิบโทรศัพท์มาถ่ายภาพ หรือติหนิดุว่าผ่านสื่อ เรื่องแบบนี้มีผลต่อพัฒนาการเด็ก แทนที่จะสงบได้เร็ว กลับรู้สึกโกรธกว่าเดิม”

การจะปรับเปลี่ยนวิธีคิดต่อเด็กๆ ในสังคมไทย คุณหมอหญิงรายนี้เห็นว่า ผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับเด็กต้องเริ่มเรียนรู้เรื่องสิทธิเด็กและความเป็นส่วนตัวมากขึ้น ขณะที่สื่อเองก็ควรลุกขึ้นมาเป็นต้นแบบในการนำเสนอมุมมองผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการละเมิดสิทธิเด็ก ส่วนทุกๆ คนที่เหลือต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดทิศทางที่ดีในสังคม

โพสต์-เเชร์ คิดให้มาก "เด็กเป็นมนุษย์ไม่ใช่ของเล่น"

สังคมยังขาดความเข้าใจในหลักสิทธิมนุษยชน– สื่อตัวดี

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติของประเทศฝรั่งเศส ออกมาเตือนพ่อแม่ที่ชอบโพสต์รูปลูกๆ อวดชาวโลกโซเชียลมีเดีย อาจเจอลูกตัวน้อยของตัวเองฟ้องร้องได้ในอนาคตฐานละเมิดชีวิตส่วนตัวโดยไม่ขออนุญาต ต้องรับโทษจำคุก 1 ปีและปรับเป็นจำนวนเงิน 35,000 ปอนด์หรือประมาณ 1.7 ล้านบาทและจะถูกเรียกเงินชดเชยได้ "โปรดหยุดโพสต์รูปลูกๆ ตัวเองลงเฟซบุ๊ก" โดยให้เหตุผลว่าอาจไม่ปลอดภัยต่อตัวลูกๆ เอง และเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรักษาสิทธิส่วนบุคคลของลูกๆ ท่านไว้ ประกาศจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติของเมืองน้ำหอม

ขณะที่ในบ้านเรา ณัฐวุฒิ บัวประทุม หัวหน้างานกฎหมาย มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก บอกให้ฟังว่า ไทยเป็นหนึ่งภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เน้นปกป้องคุ้มครองและเคารพสิทธิของเด็กอย่างรอบด้าน ทั้งดูแลให้เติบโตตามพัฒนาการ ปกป้องคุ้มครองเด็กจากภาวะต่างๆ ทั้งจากการถูกทำร้าย การละเมิดในทุกรูปแบบ อีกทั้งการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ต้องรับฟังเสียงของเด็ก โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ นอกจากนั้นไทยยังมีกฎหมายตาม พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับเด็กมากกว่า 200 ฉบับ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ พ.ร.บ คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ที่ใช้มามากกว่า10 ปี และนำหลักตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กมาบัญญัติไว้ในกฎหมาย เช่น มาตรา 22 การคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก มาตรา 23 บัญญัติถึงบทบาทของผู้ดูแลเด็กในการพัฒนาและการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ

มาตรา 26 ที่บัญญัติถึงการห้ามมิให้บุคคลต่างๆ กระทำต่อเด็ก ทั้งการทำร้ายร่างกาย การไม่ดูแลจนเด็กมีความประพฤติไม่เหมาะสม ฝ่าฝืนถือเป็นความผิดที่มีโทษ เช่นเดียวกับมาตรา 27 ที่มีโทษทางอาญา หากเปิดเผยหรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเด็กจนส่งผลกระทบต่อเด็ก ทั้งยังเป็นความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อีกด้วย ดังนั้นกฎหมายถือว่าบัญญัติไว้ครอบคลุม แต่ยังขาดการบังคับใช้ที่เป็นรูปธรรมหรือกระบวนการต่างๆยังมีความล่าช้า

​“สังคมยังขาดความเข้าใจในหลักสิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คุณค่าของความเป็นคน เช่น การเปิดเผยใบหน้า ชื่อผู้ปกครอง นำเสนอภาพบ้านและที่อยู่ ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิที่ร้ายแรง สามารถฟ้องร้องเอาผิดได้ อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างสังคมที่ดีขอให้คิดว่าเด็กเสมือนผ้าขาว การแชร์ภาพต่าง ๆ ต้องระมัดระวัง เห็นใจญาติผู้เสียหาย หรือผู้ที่ถูกกระทำ เพราะนั่นเป็นการซ้ำเติม ผลักให้เขาไม่มีที่ยืนในสังคม ซึ่งในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ชัดเจนมากว่าห้ามละเมิดสิทธิ และดำเนินการเอาผิดอย่างเฉียบพลัน แม้บางอย่างเป็นการทำผิดในประเทศอื่น เช่น การละเมิดทางเพศต่อเด็ก นอกจากจะรับโทษในประเทศนั้นๆแล้ว จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาในประเทศเขาด้วย ดังนั้น ภาครัฐควรมีกระบวนการยกระดับจัดการปัญหาการละเมิดสิทธิเด็กอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน” 

ณัฐวุฒิ บอกทิ้งท้ายว่า ทุกครั้งที่โพสต์ให้คิดถึงความรับผิดชอบ ทั้งทางวิชาชีพ ทางกฎหมาย เเละที่สำคัญรับผิดชอบในความเป็นมนุษย์ ถ้าเห็นว่าเรื่องนั้น "อาจ" ส่งผลเสียต่อเขา เเล้วจะดันทุรังไปทำไป ต่อให้เจตนาดี อย่างไรก็ต้องเซนเซอร์

โพสต์-เเชร์ คิดให้มาก "เด็กเป็นมนุษย์ไม่ใช่ของเล่น"

ขณะที่ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน เจ้าของเว็บไซต์ drama-addict.com แสดงความเห็นว่า ที่ผ่านมาสังคมไทยตระหนักเรื่องสิทธิและการละเมิดสิทธิเด็กน้อย หลายครั้งเพจต่างๆ นำเสนอมุมมองที่แสดงความเป็นห่วงต่อการนำเสนอภาพเด็ก กลับถูกสังคมออนไลน์โจมตีว่าโลกสวยเกินไปหรือเปล่า คิดมากและมองเป็นเรื่องขำขันจนละเลยผลกระทบในระยะสั้นและยาวไป ซึ่งจริงๆ แล้วทัศนคติแบบนี้ ส่วนหนึ่งมาจากสื่อ

“สื่อเองก็เลือกนำเสนอภาพเด็กๆ อย่างบ่อยครั้ง ตัวอย่างเช่น น้องมะลิ (ลูกสาวพระเอก ปอ ทฤษฎี) เอาภาพที่ไปเต้นระบำในโรงพยาบาลเพื่อหายอดไลค์ พอคนด่าก็ไม่ยอมรับและมองเป็นเรื่องเล็ก ผมอยากให้มีการเข้มงวดเกี่ยวกับวิชาชีพมากขึ้น คลิปเด็กๆ หลายคลิป มาจากครู สภาวิชาชีพควรมีบทบาทมากขึ้นในตักเตือนครูที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ เพื่อให้ทุกคนตระหนักเรื่องสิทธิเด็ก เรียนรู้การใช้สื่อมากขึ้น นำเสนออะไรต้องคิดดีเเล้วว่าไม่ส่งผลกระทบทางลบ ทั้งในระยะสั้นเเละยาว" จ่าพิชิตกล่าว

โดยสรุปก็คือ ทุกครั้งที่โพสต์ต้องตระหนักเสมอว่า รูปภาพพฤติกรรมนั้นจะไม่ส่งผลเสียต่อตัวเด็กทั้งในระยะสั้นและยาว ที่สำคัญต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิและความเป็นมนุษย์ ซึ่งว่าไปแล้ววิธีที่ง่ายที่สุด คืออย่าไปสร้างเนื้อหาตัวตนในโลกออนไลน์ให้กับเด็กๆ ตั้งแต่แรก

หน้าที่ของพ่อแม่คือการปกป้องพิทักษ์ตัวตนของลูกไว้อย่างดีที่สุด และปล่อยให้เขาเลือกเองเมื่อเติบโตขึ้นในอนาคต  

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025