พระไพรีพินาศ ‘ปาฏิหาริย์คือความราบรื่น’ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว
โดย...เอกชัย จั่นทอง ถ่ายภาพ:กิจจา อภิชนรจเรข
โดย...เอกชัย จั่นทอง ถ่ายภาพ:กิจจา อภิชนรจเรข
ในแวดวงสีกากีหรือข้าราชการตำรวจ เชื่อว่าเกือบร้อยทั้งร้อยต้องพกพาพระเครื่องติดตัว หรืออาราธนาวัตถุมงคลจากเกจิวัดดังขึ้นคล้องคอเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะด้วยหน้าที่การงานต้องปราบปรามอาชญากรรม ผจญภัยกับเหล่าร้ายในสังคมแล้วเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือของ “คู่กาย” อย่าง “เดอะตั้ม” พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ เคยโลดแล่นอยู่ในยุทธจักรสีกากี เมื่อครั้งเริ่มรับราชการครั้งแรกดำรงตำแหน่งรองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สภ.เมืองนครราชสีมา สารวัตรสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ ก่อนจะขยับนั่งรอง ผกก. 5 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 กองบัญชาการ ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)
ก่อนโอนย้ายเข้าสังกัดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ 1 สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ผู้อำนวยการส่วนคดีอาญาพิเศษ 3 สำนักคดีอาญาพิเศษ และผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง ก่อนจะนั่งตำแหน่งรองอธิบดีดีเอสไอในปัจจุบัน ถือเป็นองค์กรที่เปรียบ เสมือนตำรวจ (FBI) ของสหรัฐอเมริกา
สำหรับ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ คลุกคลีอยู่ในแวดวงโจรผู้ร้ายทุกรูปแบบ ทั้งโจรในเครื่องแบบ โจรในมาดผู้บริหาร พิชิตคดีสำคัญนับไม่ถ้วน ลากตัวผู้ต้องหามารับโทษทัณฑ์ได้มากมาย เช่น คดีมหากาพย์คลองด่าน คดี GT 200 คดีซูโดอีเฟดรีน ฯลฯ ล้วนเป็นคดีโด่งดังและใหญ่โตทั้งสิ้น ซึ่งเจ้าตัวย้ำว่าทำงานบนความถูกต้องตามกฎหมายจนผลงานเป็นที่ประจักษ์ให้เห็น “ยืนบนหลักการยืดหยุ่นในทางยุทธวิธี”
“เดอะตั้ม” ยอมรับว่าตลอดเวลาที่รับราชการมามีความเสี่ยง โดยเฉพาะสมัยไล่ล่าจับแก๊งลักรถจักรยานยนต์ หรือในสมัยเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติด ถือว่าเสี่ยงชีวิตทุกเวลาทุกนาที
เวลากว่า 25 ปี โลดแล่นบนเส้นทางชีวิตข้าราชการ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ ได้ปาฏิหาริย์จาก “พระสมเด็จไพรีพินาศ” วัดบวรนิเวศวรมหาวิหาร เจ้าตัวเล่าที่มาของพระคู่ใจองค์นี้ว่า ปี 2534 ได้รับโอกาสเป็น “สารถี” ขับรถยนต์พระที่นั่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19 และหลังเสร็จสิ้นภารกิจรับ-ส่ง จึงได้กราบลา สมเด็จพระญาณสังวรฯ ได้มอบ “พระสมเด็จไพรีพินาศ” ให้ถือว่าเป็นมิ่งมงคลของชีวิต
“จึงนำไปเลี่ยมทองขึ้นคล้องคอตั้งแต่นั้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันและเป็นพระองค์เดียวที่คล้องติดตัวมาตลอดชีวิตราชการ ไม่ว่าพระจะราคาแพงขนาดไหน แต่สิ่งที่มากับวัตถุมงคลคือเรื่องราวและความหมายของพระเครื่ององค์นี้ แม้ไม่ใช่พระเก่า แต่ความหมายคือเราได้รับมอบจากสมเด็จพระญาณสังวรฯ โดยตรง และใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจจวบจนทุกวันนี้”
ทว่าปาฏิหาริย์ของ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ นั้นเจ้าตัวให้นิยามว่า “ปาฏิหาริย์ของผมคือความราบรื่น” แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับชีวิต แต่คำว่า “ไม่มี” มันอาจจะมีก็ได้ แต่มันเป็นสิ่งที่ “พระสมเด็จไพรีพินาศ” คุ้มครองดูแลจนเหมือนไม่เจออุปสรรคปัญหา ทั้งที่ชีวิตราชการมีแต่ความเสี่ยงผ่านมาตลอด ถือเป็น “ปาฏิหาริย์ที่ไม่เกิดปาฏิหาริย์” เพราะปาฏิหาริย์ของพี่ไม่ใช่รถคว่ำหรือถูกยิงแล้วรอดตาย นั่นทำให้เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คือ “พร” ที่ได้รับจากพระคู่กาย
พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ ย้ำแนวการทำงานทิ้งท้ายได้น่าจับใจว่า “ไม่มีคำว่าอ่อน อายุน้อยไป ไม่มีคำว่าแก่ ไม่มีคำว่าวันพรุ่งนี้ มีแต่วันนี้เท่านั้น ทุกวันคือการพัฒนา ทุกวันคือความสุขของการทำงาน มองความยุ่งยากเป็นความท้าทาย มองอุปสรรคเป็นความท้าทาย เรื่องที่ยากมันคือความท้าทาย และต้องทำงานตามมาตรฐานและระบบ
“พระเครื่องคือสิ่งที่ดีงาม เมื่อสิ่งดีงามอยู่ใกล้ตัวเรา และประพฤติปฏิบัติตัวดี สิ่งดีๆ จะตามมาเอง” พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ พูดทิ้งท้าย


