ทางเลือกทางรอด"ธัมมชโย"แค่ได้ยื้อ แต่อายุความยาว15ปี
บนโต๊ะเจรจา 3 ฝ่ายเมื่อ6 มิ.ย.ที่วัดเขียนเขต มีการยื่นเงื่อนไข ขอให้ดีเอสไอเปลี่ยน “หัวหน้าพนักงานสอบสวน” เหตุผลลึกๆอาจเป็นการประวิงเวลาหรือลดทอนความน่าเชื่อถือ
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
บนโต๊ะเจรจา 3 ฝ่ายเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ วัดเขียนเขต (พระอารามหลวง) จ.ปทุมธานี ที่มี พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวนดีเอสไอ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และพระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต พระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพื่อหารือร่วมกันถึงแนวทางมาตรการวิธีการและการประสานงานระหว่าง 3 หน่วยงาน ในคดี 27/2559 คดีที่พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับในข้อหาสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร โดยไม่มีตัวแทนของทางวัดพระธรรมกายเข้าร่วมประชุมครั้งนี้
การเจรจาวันนั้นใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง ดูเหมือนจะได้ข้อยุติในทางที่ดีและเป็นไปในทิศทางที่ทุกฝ่ายเห็นด้วย แต่ในที่สุดการเจรจากลับล้มลงไม่เป็นท่า เมื่อบนโต๊ะเจรจามีการยื่นเงื่อนไขที่หนักใจ ขอให้ดีเอสไอมีการเปลี่ยน “หัวหน้าพนักงานสอบสวน” ในคดีนี้ นั่นชัดเจนว่า พระธัมมชโยเกิดความไม่เชื่อมั่นในการทำคดีของ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผู้บัญชาการสำนักคดีการเงินการธนาคาร ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน โดยบนโต๊ะเจรจาไม่บอกเหตุผลการขอให้เปลี่ยนตัว พ.ต.ท.ปกรณ์ จึงทำให้การพูดคุยในวันนั้นไร้ข้อยุติอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเปิดข้อมูลสังเขปย้อนหลังดู นี่อาจเป็นสาเหตุที่พระธัมมชโยขอเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวน เพราะเมื่อครั้งปี 2542 ชื่อของ พ.ต.ท.ปกรณ์ เคยปรากฏเป็นพนักงานสอบสวนสมัยอยู่กองปราบปราม ได้ทำสำนวนคดีเกี่ยวข้องกับพระธัมมชโยจนนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีในชั้นศาล และอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่พระธัมมชโยต้องการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพนักงานสอบสวนในครั้งนี้ สิ่งนี้คือ 5 เปอร์เซ็นต์ บนโต๊ะเจรจาที่ไม่ได้ข้อสรุปทำให้ต้องมีการถกเถียงกันใหม่ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ซึ่งจะเป็นการพูดคุยกันเป็นครั้งที่ 3
เมื่อเปิดดูการทำงานของ พ.ต.ท.ปกรณ์ ตลอดระยะหลายเดือนที่ผ่านมาที่เข้ามารับผิดชอบคดีนี้ ได้ยึดตามรูปแบบของกฎหมายทุกขั้นตอนไม่ผิดแผกแตกต่างอะไร หรือเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีการทำคดีในฐานะ “หัวหน้าพนักงานสอบสวน” ได้เลย ซึ่งเหตุผลลึกๆ ของเงื่อนไขครั้งนี้อาจเป็นการประวิงเวลาหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของดีเอสไอ!!!
นอกจากนี้ หลายฝ่ายยังมองว่าดีเอสไอทำงานล่าช้า หากเปรียบเทียบกับคดีอื่นที่ผ่านมา แต่เมื่อกางเหตุผลจึงกระจ่างว่า รูปแบบการทำงานครั้งนี้คือต้องการลดความสูญเสีย ถามว่าถ้าดีเอสไอยึดตามหมายจับ แล้วเข้าไปจับกุมในวัดทันที แล้วผลที่ตามมาอาจเกิดการปะทะบาดเจ็บหรือถึงขั้นมีมือที่ 3 สร้างสถานการณ์จนบานปลาย ดีเอสไออาจตกเป็นจำเลยของสังคม นั่นจึงทำให้ดีเอสไอเลือกที่จะใช้วิธีการอะลุ่มอล่วย และให้เกียรติพระธัมมชโยในฐานะพระชั้นผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาดีเอสไอเปิดทางเลือกให้พระธัมมชโยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหลายเส้นทาง และยอมผ่อนปรนตามคำขอในบางเงื่อนไข อย่างกรณีเมื่อวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา หากพระธัมมชโยยอมมอบตัวในวันนั้นจะได้ประกันตัวทันที สุดท้ายพระธัมมชโยเลือกที่จะไม่ยอมมารับทราบข้อกล่าวหา เมื่อโปรโมชั่นวันนั้นหมดลง ดีเอสไอต้องหารือกันใหม่อีกครั้งสุดท้ายเกิดเป็นมาตรการ 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.การทำแผนปฏิบัติการตามหมายจับ 2.มอบหมายจับให้กับตำรวจและฝ่ายปกครอง 3.ทำหนังสือถึงฝ่ายปกครองคณะสงฆ์ทุกระดับตั้งแต่มหาเถรสมาคม (มส.) 4.ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) มาตรา 189 และ 5.เร่งรัดการดำเนินคดีให้เสร็จโดยเร็วที่สุดภายใน 3 สัปดาห์ และด้วยมาตรการ 5 ข้อนี้ จึงเกิดเป็นวงเจรจาของฝ่ายสงฆ์ที่พยายามให้พระปกครองเข้ามาช่วยเกลี้ยกล่อมพระธัมมชโย จนเกิดเป็นการประชุม 3 ฝ่ายขึ้นแต่ก็ยังไร้ข้อสรุปถึงทุกวันนี้
ส่วนกลุ่มลูกศิษย์พระธัมมชโยที่ออกมาปกป้องในขณะนี้ อาจเป็นการรักษาฐานผู้ศรัทธาพระธัมมชโยให้คงเดิม แต่ไม่อาจเพิ่มผู้ศรัทธารายใหม่เข้ามาอีก เลยต้องออกมาเคลื่อนไหวปกป้องคอยตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามทุกประเด็น เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าพระธัมมชโยไม่ใช่ผู้กระทำความผิด
แต่ที่สุดแล้วอำนาจในการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่ตัวของพระธัมมชโย จะเลือกเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือจะประวิงเวลาต่อไปเรื่อยๆ แต่อย่าลืมว่าคดีนี้มีอายุความถึง 15 ปี นั่นจะกลายเป็นชนักติดหลังตลอดไป


