posttoday

ทุกอย่างคือที่สุด ‘สรพจน์ เตชะไกรศรี’

22 พฤษภาคม 2559

ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ในสายเลือด จึงทำให้ สรพจน์ เตชะไกรศรี

โดย...โชคชัย สีนิลแท้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ในสายเลือด จึงทำให้ สรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น ต้องเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ โดยอาศัยแนวคิดจากครอบครัว จากคุณพ่อและคุณแม่ คือ สุเมธ และ ยุพา เตชะไกรศรี ที่เป็นทั้งผู้ถือหุ้นและผู้บริหารระดับสูงของบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์

“ผมชอบธุรกิจอสังหาฯ อยู่แล้ว แต่ไม่ต้องการทำกับครอบครัวเนื่องจากความคิดเห็นไม่สอดคล้องกัน เลยขอแยกออกมาทำจะดีกว่า โดยก่อนหน้านี้เคยได้เข้าไปฝึกงานกับทางคุณแม่ที่บริษัท แอล.พี.เอ็นฯ รวมถึงบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ของคุณพ่อที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ในหลายๆ ด้าน แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อและคุณแม่ ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่สามารถพัฒนาโครงการได้อย่างที่ต้องการในรูปแบบไฮเอนด์และต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”

สรพจน์ ย้ำว่าเหตุผลที่แยกออกมาพัฒนาโครงการเองถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากต้องการให้แนวทางการบริหารและการทำธุรกิจมีความชัดเจนด้วย ซึ่งเริ่มจากที่ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำเป็นเรื่องเป็นราว เบื้องต้นจะทำเป็นโครงการๆ ไป ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะพัฒนาในระยะยาว จนไปถึงการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

จากเริ่มแรกที่พัฒนาโครงการก็มุ่งเน้นโครงการระดับไฮเอนด์ แต่ไม่ได้เป็นโครงการขนาดใหญ่ นั่นคือโครงการไฟคัสเลน สุขุมวิท 44/1 เป็นคอนโดมิเนียมรูปแบบโลว์ไรส์ ที่สามารถพัฒนาและปิดการขายได้รวดเร็ว หลังจากนั้นก็พัฒนาโครงการต่อเนื่องจนมาถึงโครงการมหานคร ที่เป็นตึกสูงระฟ้าสูงที่สุดในกรุงเทพฯ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากมีประสบการณ์และพัฒนาโครงการมานาน 5-6 ปีแล้ว

ขณะที่สภาพเศรษฐกิจในช่วงปี 2549-2550 ถือว่าค่อนข้างดี และธุรกิจอสังหาฯ ค่อนข้างรุ่งเรืองพอสมควร โดยขณะนั้นมีบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ แอ็กทีฟมากในการเจรจาเพื่อดึงบริษัทจากยุโรปมาลงทุนค่อนข้างมากในกรุงเทพฯ รวมไปถึงจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เรียกได้ว่าพร้อมที่จะลงทุนได้หมด ประกอบกับในช่วงเวลานั้นได้มาเจอที่ดินแปลงระหว่างถนนสาทรกับสีลม ซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการ บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีช่องนนทรี จึงต้องการที่จะพัฒนาโครงการ

จากนั้นได้ไปปรึกษากับทางบ้าน ก็รู้ว่าหากจะพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ไม่สามารถพัฒนาเพียงลำพังคนเดียวได้แน่นอน ต้องเดินหน้าหาผู้ร่วมทุน ในที่สุดจึงมาได้พาร์ตเนอร์ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ประเทศอิสราเอล คือ บริษัท อินดัสเทรียล บิลดิ้งส์ คอร์ปอเรชั่น (ไอบีซี) เป็นบริษัทมหาชนที่เจ้าของเป็นเศรษฐีระดับท็อปเทนของประเทศ มาร่วมทุนพัฒนาโครงการมหานคร ถือเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่มาก เพราะมีมูลค่าสูงถึง 1.8 หมื่นล้านบาท 

“ถือว่าตัดสินใจถูก เพราะตอนนั้นก็มีเลย์แมนบราเธอร์ รวมไปถึงอีกหลายกองทุน ซึ่งผมก็สองจิตสองใจ เนื่องจากช่วงนั้นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ไทยจะฮิตมากเรื่องร่วมทุนกับบริษัทข้ามชาติ สมัยนั้นกลุ่มคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ก็ร่วมทุนกับแคปิตอล แลนด์ จากสิงคโปร์ เวลานั้นก็คิดว่าถ้าเจรจาร่วมทุนกับบริษัทที่เป็นสถาบันการเงินหรือเป็นแบงก์ หากเศรษฐกิจมีปัญหาจะคุยกันยาก แต่พอได้คุยกับบริษัทผู้ร่วมทุนที่เขาดำเนินธุรกิจอสังหาฯ เองจะทำงานได้ง่ายกว่า หากเศรษฐกิจมีปัญหา เพราะถ้าเป็นพวกกองทุนจะคุยยาก เนื่องจากพวกกองทุนทุกอย่างจะต้องทำตามสัญญาหมด และเมื่อมีปัญหาในความเป็นจริงกองทุนเหล่านั้นอาจจะไม่อยู่แล้วด้วยซ้ำ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ผ่านจุดนั้นมาได้และตัดสินใจเลือกผู้ร่วมทุนที่ไม่ผิด”

ทั้งนี้ บริษัทได้เจรจากับบริษัท ไอบีซี ประมาณ 6 เดือน ก่อนที่จะเซ็นสัญญาร่วมทุน โดยในปี 2550 ได้จัดแถลงข่าวว่าจะทำตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย จากนั้นก็ได้เริ่มไปเจรจากับเชนโรงแรมที่ยังไม่ค่อยมีใครทำ โดยเจรจากับเชน เดอะ ริทซ์ คาร์ลตัน ว่าจะพัฒนาตึกสูงที่สุดในประเทศ จึงต้องการโรงแรมระดับโลกเข้ามา ซึ่งก่อนหน้านี้เชน เดอะ ริทซ์ คาร์ลตันได้เข้ามาบริหารแล้วในฮ่องกงและสิงคโปร์                              

“โครงการมหานครนี้ผมมองว่าพัฒนาไปได้ไกลบนที่ดินขนาด 8 ไร่ หากพัฒนาเป็นโครงการสูง 30 ชั้น 2 ตึกคงขายได้หมดไปนานแล้ว แต่ด้วยความต้องการที่สำคัญหลายๆ เหตุผลตอนนั้นไม่ได้เพื่อเงิน แต่เสียดายที่ดิน เสียดายโอกาสมากกว่า เพราะตึกสูงไม่ได้ว่าจะทำได้ทุกที่ ต้องศึกษากฎหมายควบคุมอาคาร และตรงนี้ถนนนราธิวาสฯ เป็นถนนใหญ่สามารถทำอาคารสูง 77 ชั้นได้ จึงเป็นที่มาของแนวคิดที่สุด แม้จริงๆ จะทำให้จบๆ ไปก็ได้ มันก็ได้เงินเข้ามา ผมมองว่ามันไม่สนุก และไม่มีความตื่นเต้น”

หลังจากเซ็นสัญญาร่วมทุน เพื่อเดินหน้าพัฒนาโครงการก็ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น หากแต่ยังต้องเผชิญวิกฤตทางการเมืองในประเทศอีก โดยตอนแรกคิดว่าน่าจะเป็นแค่ปัญหาระยะสั้นก็เดินหน้าพัฒนาโครงการและเปิดขายอย่างเป็นทางการ ใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ปีครึ่ง เพื่อสร้างห้องตัวอย่าง ถือเป็นห้องตัวอย่างที่แพงที่สุด ใช้เงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท โดยได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2553

“หลังจากเปิดตัวโครงการได้เพียง 2 สัปดาห์ ก็มีเรื่องประท้วงตรงแยกราชประสงค์กินเวลานาน 4 เดือน จนมาจบด้วยการชุมนุมเผาบริเวณสี่แยกราชประสงค์ จนมีการเผาศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เวลานั้นลูกค้าผมที่จองห้องชุดไป 50 ห้อง คืนเงินจองหมดเหลือ 2 ห้อง ซึ่งทางบริษัทก็รับคืนมาหมด เพราะสถานการณ์ในช่วงนั้นมันแย่ ปัญหาทางการเมืองชัดเจนแล้วว่ารุนแรง

“ผลจากความรุนแรงทางการเมือง ทำให้ต้องหยุดเพื่อกลับไปตั้งหลักกว่า 1 ปี โดยผมถือหลักการที่ว่าเริ่มช้าแล้วจบ ดีกว่าเริ่มแบบรีบๆ แล้วไม่สามารถพัฒนาให้จบ จึงต้องขอเวลาตั้งหลัก ก็มีการกลับมาพิจารณาว่าอาจจะต้องเปลี่ยนจากตึกสูงสุดเป็นตึกที่แพงที่สุด ซึ่งอาจจะเป็นตึกที่ไม่ต้องสูงสุด แต่ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เพราะอย่างไรทำเลนี้ต้องขายได้” 

ประกอบกับในช่วงนั้น สรพจน์ได้ไปเจรจาเพื่อซื้อแบรนด์ ดีน แอนด์ เดลูก้า จากสหรัฐเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ด้วยความตั้งใจว่าจะนำมาพัฒนาเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเปิดให้บริการที่โครงการมหานคร ซึ่งได้เซ็นสัญญาไว้เรียบร้อยแล้วก็เปิดเป็นสาขาชั่วคราวที่ห้องตัวอย่างในปี 2553 ซึ่งเรื่องที่แปลกคือร้านดีน แอนด์ เดลูก้าได้รับการตอบรับที่ดีกว่าโครงการมหานคร ที่ดีเลย์ไป 1 ปี 

“ช่วงนั้นก็เครียดพอสมควรว่าจะเอาอย่างไร แต่ร้านดีนแอนด์เดลูก้ากลับไปได้ดี คนก็เลยลืมเรื่องโครงการต้องล่าช้าออกไป แต่ก็มารับประทานอาหารที่ร้านดีน แอนด์ เดลูก้า ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมาก ช่วงเวลานั้นถ้าไม่มีร้านดีน แอนด์ เดลูก้า ห้องตัวอย่างตายไปเลย เห็นได้จากช่วงวันเสาร์-อาทิตย์แทบจะไม่มีที่นั่งเลย ดังมากจนตำรวจต้องมาล็อกล้อ เพราะไม่มีที่จอดรถ ต้องจอดข้างถนน”

เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 1 ปี จากนั้นสถานการณ์เริ่มดีขึ้น จึงเริ่มเจรจากับทางบริษัท ไอบีซี อีกครั้ง เพื่อศึกษาโมเดลธุรกิจใหม่ โดยทางไอบีซีบอกว่าทำตึกเตี้ยลงได้ไหม หรือเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ไม่ต้องเป็นไฮเอนด์ แล้วขายราคาถูกลงได้ไหม แต่สรพจน์ยังยืนยันรูปแบบและคอนเซ็ปต์เดิม เพราะศึกษามาอย่างดีและมั่นใจ

“ผมขอเวลาพิสูจน์ไม่เปลี่ยนคอนเซ็ปต์โครงการ และพอขายได้มากขึ้นเราถึงได้เริ่มเดินหน้าในคอนเซ็ปต์เดิม ตั้งแต่วันที่เริ่มก่อสร้างแล้วโครงการไม่มีการดีเลย์ แม้จะเจอปัญหามาตลอด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วมใหญ่และการเมืองรุนแรงซ้ำอีกรอบ รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดินจากรูปแบบเช่าเป็นฟรีโฮลด์หรือมีกรรมสิทธิ์ โครงการก็เดินหน้าต่อเนื่อง”

หลังจากนั้นมีการคุยกับพาร์ตเนอร์รายนี้ต้องการจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกทั้งโครงการใกล้จะจบแล้วน่าจะไปได้ด้วยดี และโครงการมีทรัพย์สินที่ไม่ได้ขายคือโรงแรม หรือจะมีจุดชมวิวข้างบนตึก ร้านค้าเก็บค่าเช่า ตอนนั้นจึงซื้อหุ้นเพิ่มอีก 18% จาก 51% เป็น 69% เงินที่ระดมทุนเข้ามาได้จากการเข้าตลาดก็ไปเพิ่มในส่วนนี้ที่ถือหุ้น และก็มีซื้อที่ดินทำโครงการเพิ่มที่หัวหิน คือ โครงการมหาสมุทรและโครงการนิมิตหลังสวน

สรพจน์ปิดท้ายว่า ถือเป็นความภูมิใจที่โครงการมหาสมุทรสามารถเดินหน้าขยายงานต่อได้ โดยไม่ทิ้งความเป็น “ที่สุด” ในการพัฒนาโครงการทั้งคอนโดมิเนียมหรูติดกับสวนลุมพินีที่สามารถปิดการขายได้ในระยะเวลาสั้นแม้ห้องตัวอย่างยังก่อสร้างไม่เสร็จ รวมไปถึงโครงการมหาสมุทรที่เป็นวิลล่าตากอากาศอยู่ล้อมทะเลเทียมแบบแมนเมดอีกด้วย

ข่าวล่าสุด

Samsung ผนึก Google Gemini เผยโฉมครัว AI สุดล้ำที่ CES 2026