posttoday

บึงสีไฟแห้งเหือด ประเด็นสาธารณะของคนพิจิตร

05 พฤษภาคม 2559

โดย...พลเดช  ปิ่นประทีป/ประธานมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา

โดย...พลเดช  ปิ่นประทีป/ประธานมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา

ในที่ประชุมเวทีภาคีการพัฒนาประเทศไทย (TD Forum) เมื่อปลายปี 2557 มีการพูดคุยกันในเรื่องวิสัยทัศน์และเป้าหมายการพัฒนาประเทศใน 20 ปีข้างหน้า

คราวนั้น สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (LDI) ได้นำเสนอภาพถ่ายมุมสูงฉายให้เห็นสภาพความเป็นจริงในปัจจุบันของเขาหัวโล้นที่ จ.น่าน เลย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ ฯลฯ พร้อมกับตั้งประเด็นคำถามว่าในอนาคตป่าและภูเขาเหล่านี้จะเป็นอย่างไร

ผมสังเกตว่าที่ประชุมถึงกับช็อก นิ่งอึ้ง และได้กลายเป็นจุดเริ่มของการพูดคุยเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกันอย่างจริงจังในเครือข่ายงานชุมชนท้องถิ่นและภาคประชาสังคมทุกจังหวัดในเวลาต่อมา

มาคราวนี้เมื่อต้นปี ศูนย์ประสานภาคีการพัฒนาจังหวัดพิจิตรได้เผยแพร่ภาพบึงสีไฟ แหล่งน้ำคู่บ้านคู่เมืองของคนพิจิตร ต้นตำนานพญาชาละวันและไกรทอง เปรียบเทียบให้เห็นอดีตที่เคยมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์กับปัจจุบันที่แห้งขอดทั้งบึงแล้ว จนทางการต้องใช้วิธีสูบน้ำใต้ดินมาหล่อเลี้ยงแทน

เครือข่ายจึงประกาศความมุ่งมั่นว่าถึงเวลาที่คนพิจิตรจะลุกขึ้นมาอนุรักษ์ฟื้นฟูบึงสีไฟกันอย่างจริงจัง กระแสนี้ได้ขยายวงไปสู่เครือข่ายในจังหวัดอื่นๆ ที่มีฐานทรัพยากรคล้ายกัน อาทิ บึงบอระเพ็ด กว๊านพะเยา หนองหาร บึงโขงหลง บึงพลาญชัย

ข้อมูลจากกรมประมง ระบุว่า บึงสีไฟเป็นบึงเก่าแก่ของ จ.พิจิตร เดิมมีเนื้อที่อยู่ประมาณ 1.8 หมื่นไร่ มีอาณาเขตติดต่อ 4 ตำบล สภาพปัจจุบันหลังจากมีการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ปิดกั้นแม่น้ำน่าน ทำให้น้ำแม่น้ำที่เคยไหลเข้าสู่บึงสีไฟในฤดูฝนก็หมดไป บึงสีไฟจึงมีน้ำน้อยลงไปมาก พื้นที่รอบๆ ถูกบุกรุกเป็นพื้นที่การเกษตรและที่อยู่อาศัย

ในปี 2521 กรมประมงได้ทำการบูรณะบึงสีไฟโดยการสร้างคันดินขึ้นโดยรอบ เพื่อป้องกันการบุกรุก ต่อมาได้มีการรังวัดปักแนวเขตและออกเป็นหนังสือสำคัญที่หลวงเมื่อปี 2534 โดยกรมเจ้าท่าเป็นผู้ดูแลรักษามีเนื้อที่เหลือเพียง 5,390 ไร่เศษเท่านั้น

พอดีเมื่อช่วงสงกรานต์ ผมเพิ่งไปทัศนศึกษากับเพื่อนฝูงที่ประเทศอุซเบกิสถาน ได้ไปดูพิพิธภัณฑ์ที่เมืองคิวา (Khiva) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของทะเลอารัล จึงได้ทราบว่าบัดนี้ทะเลอารัลที่เคยเรียนในวิชาภูมิศาสตร์โลกสมัยชั้นมัธยมศึกษาก็กำลังเหือดแห้งถึงขั้นวิกฤตเช่นกัน

อันที่จริงคงมีทะเลสาบอีกนับพันแห่งทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและภาวะการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก แต่เกือบทุกแห่งล้วนมีปัจจัยที่มาจากน้ำมือมนุษย์เข้ามาซ้ำเติม ทั้งในระดับโครงสร้างนโยบายของรัฐ พฤติกรรมการตั้งถิ่นฐานและการดิ้นรนทำมาหากินของประชาชน

ข้อมูลจากวิกิพีเดีย ระบุว่า ทะเลอารัลเป็นทะเลปิดที่อยู่ในเอเชียกลางอยู่ระหว่างประเทศคาซัคสถานกับประเทศอุซเบกิสถาน ครั้งหนึ่งเคยมีพื้นที่ 6.8 หมื่นตารางกิโลเมตร และเป็นทะเลที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก แต่ตั้งแต่ประมาณปี 2503 ทะเลอารัลก็ลดขนาดลงเรื่อยๆ เพราะแม่น้ำอามูดาร์ยาและแม่น้ำเซียร์ดาร์ยาที่นำน้ำมาสู่ทะเล โดนเปลี่ยนเส้นทางจากโครงการชลประทานเพื่อหล่อเลี้ยงไร่ฝ้ายของสหภาพโซเวียต

ในปี 2547 พื้นที่ทะเลลดลงเหลือร้อยละ 25 ของขนาดเดิม และมีค่าความเค็มมากกว่าเดิมถึง 5 เท่า ซึ่งทำให้พืชและสัตว์ที่เคยอาศัยอยู่ตายเสียส่วนใหญ่ในปี 2550 พื้นที่ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 10 ของขนาดเดิม และแยกตัวออกเป็นทะเลสาบ 3 ส่วน ซึ่ง 2 ใน 3 นั้นเค็มเกินไปที่ปลาจะอาศัยอยู่ได้ อุตสาหกรรมการประมงที่เคยเฟื่องฟูถูกทำลายลง เมืองประมงที่อยู่รอบๆ ชายฝั่งเดิมกลายสภาพเป็น
สุสานเรือ เกิดการว่างงานและปัญหาเศรษฐกิจตามมา

อุซเบกิสถานมีภูมิประเทศแบบทุ่งหญ้าสเตปป์ไม่ใช่ทะเลทราย คือเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ไม่มีต้นไม้ มีปริมาณน้ำฝนและหิมะเฉลี่ยแค่ 250-500 มิลลิเมตร/ปี เท่านั้น

ผิดกับบ้านเราที่เป็นเขตร้อนชื้นใกล้เส้นศูนย์สูตรมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,572 มิลลิเมตร/ปี นักวิการคำนวณว่าเรามีทรัพยากรน้ำจืดหมุนเวียนถึง 410 พันล้านลูกบาศก์เมตร/ปี ซึ่งมากมายเหลือเฟือ แต่มีปัญหาด้านการจัดการ

กลับมาที่กระแสความตื่นตัวของเครือข่ายประชาคมจังหวัดพิจิตร ที่มีความพยายามจะเสนอประเด็น “บึงสีไฟแห้งเหือด” ให้เป็นเรื่องใหญ่ของคนพิจิตรทั้งจังหวัดมาร่วมกันแก้ไขปัญหา จึงเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจช่วย

แต่จากประสบการณ์ในการร่วมขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้พวกเรามีบทเรียนรู้ที่สำคัญ โดยเฉพาะข้อจำกัดจากการมุ่งรอคอยภาครัฐและให้ความสำคัญต่อการเปลี่ยนกฎกติกาในโครงสร้างส่วนบน คือผลักดันการออกกฎหมายฉบับต่างๆ ว่าหาใช่หนทางที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่แท้จริงไม่

เพราะแม้เรามีรัฐธรรมนูญและกฎหมายปฏิรูปที่สวยสดงดงาม แต่หากประชาชนส่วนใหญ่และผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องในสังคมยังมีจิตสำนึกและวิธีีคิดแบบเดิม การปฏิบัติตามและการบังคับใช้กฎหมายก็ไม่เกิดจริง

การเปลี่ยนแปลงสังคมไทยที่ระดับจิตสำนึกและวิธีคิดเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ค่อยมีใครอยากทำ เพราะมันเป็นเรื่องยาก ใช้ระยะเวลาและเป็นเชิงนามธรรม แต่สิ่งที่ประชาคม จ.พิจิตร กำลังทำนี้มีรูปธรรมที่ชัดเจน

ความท้าทายจึงอยู่ที่ว่า พวกเขาจะสามารถทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นระเบียบวาระสำคัญของ จ.พิจิตร ซึ่งทุกส่วนราชการและประชาชนชาวพิจิตรทุกหมู่เหล่าต่างระดมใจ ระดมทรัพยากรมาช่วยกันแก้ปัญหาได้หรือไม่

ซึ่งผมเชื่อว่าหากเดินในแนวทางประชารัฐเช่นนี้ แม้บึงสีไฟจะยังไม่มีน้ำกลับมาอย่างอุดมสมบูรณ์เหมือนเก่า แต่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมของจังหวัด จากแนวดิ่งสู่แนวราบ พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกและวิธีคิดของพลเมืองพิจิตรในด้านการพึ่งตนเอง เชื่อมั่นในศักดิ์ศรีและการจัดการตนเอง

ขอเอาใจช่วยครับ

ข่าวล่าสุด

บอร์ดเคาะแล้ว “ทรงพล” MD ออมสินคนใหม่ รอชัดอำนาจรักษาการเซ็นได้หรือไม่