ปลัดกทม.คนใหม่สนองฝ่ายการเมืองเต็มสูบ
ปลัดกทม.คนใหม่ ใส่เกียร์เดินหน้า สนองฝ่ายการเมืองเต็มสูบ
โดย–อาทิตย์ เคนมี
หลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งปลัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) อย่างเป็นทางการ ก็เข้ารับตำแหน่งพ่อบ้านประจำเสาชิงช้าคนใหม่ พร้อมเปิดใจแถลงถึงแนวทางการทำงานนับจากนี้ โดยการันตีว่าช่วงเวลาที่เหลืออีก 2 ปีก่อนเกษียณอายุราชการ จะเดินหน้าลุยงานหนักเพื่อคนกรุง
เจริญรัตน์ในวัย 58 ปี พื้นเพเป็นชาว จ.นราธิวาส จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และปริญญาโท รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เริ่มไต่เต้าจากหัวหน้าฝ่ายเลขานุการปลัด กทม. หัวหน้าฝ่ายเทศกิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการเขตบางกอกใหญ่ เรื่อยมาจนถึงผู้ช่วยปลัด กทม. และเป็นหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ก.ก.) กระทั่งเดือน ต.ค.2552 ขึ้นเป็นรองปลัด กทม. ดำรงตำแหน่งได้เพียง 9 เดือน ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นปลัด กทม. แทนนายพงษ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ที่ขอโอนย้ายไปเป็นที่ปรึกษาฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี
ก่อนหน้านี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่า เจริญรัตน์ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งปลัด กทม.อย่างเหนือความคาดหมาย เพราะเป็นการก้าวข้ามรองปลัด กทม.หลายคนที่มีความอาวุโสกว่า ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของแวดวงข้าราชการเสาชิงช้าที่ยึดถือปฏิบัติกันมานาน โดยมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. เป็นแรงผลักดันสำคัญ พร้อมตีตรายางการันตีฝีมือในการทำงาน
โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่ปกติของประเทศในขณะนี้ เป็นเหตุผลสำคัญที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เจาะจงล็อคสเปกไว้ว่า ปลัด กทม.คนใหม่ จะต้องพร้อมรับมือทุกสถานการณ์และสามารถทำงานสอดประสานกับผู้ว่าฯ กทม.ได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน
“เป็นเรื่องปกติของชีวิตราชการที่จะต้องมีการเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้น แม้ที่ผ่านมาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เป็นปลัด กทม. แต่ขอยืนยันว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็ยังคงเป็นนายเจริญรัตน์คนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง” เขากล่าว
ในโอกาสเข้าทำงานวันแรก เจริญรัตน์ กล่าวเปิดใจว่า ขอขอบคุณผู้ว่าฯกทม. และทุกฝ่ายที่ให้ความไว้วางใจในการเข้ารับตำแหน่งปลัด กทม. ซึ่งยืนยันว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เจริญรัตน์ บอกด้วยว่า แม้ก่อนหน้านี้จะมีกลุ่มข้าราชการส่วนหนึ่งที่ไม่พอใจฝ่ายการเมืองที่ใช้อำนาจแทรกแซงฝ่ายข้าราชการด้วยการสั่งปลดนายพงษ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ออกจากตำแหน่งปลัด กทม. จนทำให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างหนัก แต่โดยส่วนตัวไม่รู้สึกหนักใจแต่อย่างใด ยืนยันว่าเป็นอำนาจของผู้ว่าฯกทม. ในการพิจารณาแต่งตั้ง โดยคำนึงถึงความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ไม่ใช่การแทรกแซง ส่วนเรื่องอาวุโสเป็นปัจจัยการพิจารณาในลำดับท้าย
“กรณีที่มีการร้องเรียนว่าถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองหรือนักการเมืองท้องถิ่น ผมถือว่าฝ่ายข้าราชการประจำก็ต้องให้เกียรติผู้แทนที่ประชาชนเลือกมา ไม่ว่าจะเป็น สก. สข. ก็ล้วนมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนทั้งสิ้น” เจริญรัตน์ ระบุ
ขณะเดียวกัน เจริญรัตน์ยอมรับว่า ในด้านนโยบายการบริหารงาน กทม. ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการกำหนดนโยบายมีเพียงผู้ว่าฯกทม. ดังนั้นฝ่ายข้าราชการประจำต้องมีหน้าที่สนองนโยบายเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ภายใต้เป้าหมายหลัก 4 ด้าน คือ 1.มุ่งเสริมสร้าง กทม.ให้เป็นองค์กรบริการที่ดีเลิศ 2.การบริหารงานต้องเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล 3.การพัฒนาองค์กรให้มีสมรรถนะและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และ 4.การบริหารงานบุคคลด้วยระบบคุณธรรม โดยประชาชนจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของนโยบาย
นอกจากนี้จะเร่งติดตามความคืบหน้าของโครงการต่างๆ ที่มีปัญหาข้อร้องเรียนและมีความล่าช้าในกระบวนการตรวจสอบ โดยจะเชิญหน่วยงานต่างๆ เข้ามาชี้แจงสอบถาม รวมทั้งจะเร่งรัดปรับปรุงกฎหมายบางฉบับที่มีความล้าสมัย โดยจะร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการ กทม.ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะจากการศึกษาวิจัยพบว่า โครงสร้างของ กทม.เป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีกฎหมายกำหนดโครงสร้างมาตั้งแต่ปี 2528 ซึ่งไม่สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน ทำให้การบริหารงานมีอุปสรรคติดขัด
ทั้งนี้ ปลัด กทม.ได้มีคำสั่งมอบหมายภารกิจให้กับรองปลัด กทม.ทั้ง 6 คน พร้อมให้อำนาจในการปฏิบัติหน้าที่แทนปลัด กทม. โดยสามารถลงนามอนุมัติหรือสั่งการในส่วนที่เป็นอำนาจของปลัด กทม. ตามข้อบัญญัติ กทม. ในเรื่องต่างๆ เช่น การทรัพย์สิน การพัสดุ การพัสดุของการพาณิชย์ การรับ เบิก จ่ายเงิน โดยไม่จำเป็นต้องเสนอเรื่องให้ผู้บังคับบัญชารับทราบในทุกเรื่อง
จากนี้ไปจะเป็นบทพิสูจน์ฝีมือของปลัด กทม.คนใหม่ ว่าจะสามารถสานต่อนโยบายได้ตามที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ประทับตรารับประกันหรือไม่


