สุขุมพันธุ์แจงMOU43 ไม่ทำไทยเสียดินแดน
สุขุมพันธุ์ แจงเซ็น MOU43 ไม่ทำไทยเสียดินแดน ชี้ ช่วยยับยั้งเขมรรุกล้ำอธิปไตยไทย ย้อนทำไมรัฐบาลทักษิณ-สมัครไม่คัดค้านหรือยกเลิกแต่กลับใช้เป็นแนวทางประชุมJBC
สุขุมพันธุ์ แจงเซ็น MOU43 ไม่ทำไทยเสียดินแดน ชี้ ช่วยยับยั้งเขมรรุกล้ำอธิปไตยไทย ย้อนทำไมรัฐบาลทักษิณ-สมัครไม่คัดค้านหรือยกเลิกแต่กลับใช้เป็นแนวทางประชุมJBC
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะอดีตรมช.ต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการทำบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา(MOU) ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ลงนาม ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.2543
ในเนื้อหาของแถลงการณ์มีสาระสำคัญ คือ บันทึกฉบับดังกล่าวเป็นไปเพื่อเสริมสัมพันธ์ไมตรีของรัฐบาลทั้งสองที่มีเจตนารมณ์ตรงกันในเรื่องความจำเป็นที่ต้องจัดทำหลักเขตแดนทางบกขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งนี้เนื่องจากว่าหลักเขต ซึ่งได้จัดทำโดยคณะปักปันเขตแดนร่วมกรุงสนามและประเทศฝรั่งเศสได้สูญหาย ชำรุด หรือ ถูกเคลื่อนย้ายในช่วงเวลากว่า 100 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดสงครามในกัมพูชากว่า 20 ปี
การสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนและในทางปฎิบัติมีอุปสรรคนานัปการในการดำเนินการ ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงต้องมีความเข้าใจตรงกันก่อนว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร มิฉะนั้น ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นได้ วิธีดำเนินการที่ดีที่สุด คือ การดำเนินการจัดทำหนังสือสัญญา เพื่อนำไปใช้เป็นกรอบและประเด็นอ้างอิงในการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนใหม่ได้ ซึ่งหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นข้อผูกมัดในเรื่องวิธีการดำเนินการเท่านั้น ไม่ได้เป็นข้อผูกมัดถึงผลของการดำเนินการ
ตามธรรมเนียมปฎิบัติทางการทูตลักษณะของหนังสือสัญญาที่เหมาะสมที่สุดเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นี้ คือ บันทึกลงนามความเข้าใจ (MOU) ซึ่งไทยได้ทำกับประเทศเพื่อนบ้าน 2 ประเทศก่อนหน้านี้มานานแล้ว คือ มาเลเซียและลาว ทั้งนี้ การทำบันทึกลงนามความเข้าใจทั้งสองฝ่ายเป็นฝ่ายได้ประโยชน์เพราะถ้าไม่สามารถได้ข้อสรุปในกรอบการทำงาน ก็ไม่สามารถเริ่มต้นการทำงานได้ ซึ่งจะมีผลทำให้ปัญหาเขตแดน เป็นเงื่อนไขความขัดแย้งต่อไป
อาจกล่าวได้ว่ามาตรา 5 ของบันทึกลงนามความเข้าใจ เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไทยด้วยซ้ำ เพราะในช่วงนั้นฝ่ายกัมพูชาเริ่มทำถนนเข้าไปในพื้นที่ ซึ่งมีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อน และ ชาวกัมพูชาได้เข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ดังกล่าว แต่ด้วยบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้ทำให้ฝ่ายไทยมีเครื่องประกันเป็นลายลักษณ์อักษรว่ากัมพูชาจะไม่ทำถนนเข้าไปในพื้นที่ และจะดูแลไม่ให้มีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น
นับตั้งแต่ปี 2544 ฝ่ายกัมพูชามิได้ทำตามคำมั่นสัญญา ปล่อยให้ชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ซึ่งมีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อน โดยที่รัฐบาลไทยในช่วงนั้นมิได้มีการทักท้วงแต่อย่างใดแต่ในขณะเดียวกัน ยังไม่ควรสรุปว่าบันทึกลงนามความเข้าใจไม่เป็นประโยชน์ในทางใดทั้งสิ้น บันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้ได้เป็นกรอบสำคัญในการบริหารจัดการปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เห็นได้จากที่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้จัดการประขุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (JBC) ขึ้นถึง 3 ครั้งโดยนายประชา คุณเกษม เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทยทั้ง 3 ครั้ง และในช่วงทีเกิดข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร กระทรวงการต่างประเทศก็ได้ใช้บันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้เป็นเอกสารอ้างอิงในการทักท้วงทุกครั้งไป
บันทึกลงนามความเข้าใจ ยังไม่มีรัฐบาลของฝ่ายใดมองว่าเป็นข้อตกลงที่ทำให้ประเทศตนเองเสียเปรียบ แม้แต่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ (ตั้งแต่ปี2544) และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้นำบันทึกลงนามความเข้าใจไปใช้ ซึ่งหากบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้สร้างความเสียหายแก่ฝ่ายไทยจริง ก็คงได้มีการวิพากษ์วิจารณ์มาก่อนหน้านี้แล้วและอาจได้มีการดำเนินการแก้ไขเนื้อหาไปอีกด้วย โดยอ้างเหตุผลว่ารัฐบาลสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำได้ดำเนินการไปอย่างไม่ถูกต้อง
ผลของการดำเนินการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเห็นพ้องต้องกันในทุกประเด็น ดังนั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถยอมรับในประเด็นใดๆก็ตามสามารถชะลอการพิจารณาไปก่อนได้ เพราะไม่มีอำนาจใดบังคับให้เกิดการยอมรับในสิ่งที่ไม่ต้องการได้
ยิ่งไปกว่านั้นผลสรุปของJBC ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายเพราะจะต้องได้รับความเห็นชอบโดยคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาอีกด้วย ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าบันทึกลงนามความเข้าใจฉบับนี้เป็นเครื่องประกันไม่ให้ไทยต้องสูญเสียดินแดนในพื้นที่มีการอ้างสิทธิอธิปไตยทับซ้อนกัน


