ค้านคำถามพ่วงฉุดการเมือง ซ้ำรอยพฤษภาทมิฬ 35
สิ่งที่กังวลและต้องระมัดระวัง หากนายกรัฐมนตรีมาจากคนนอก อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเมื่อครั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี35
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ทันทีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นด้วยกับข้อเสนอของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่จะให้พ่วงคำถามเข้าไปในการทำประชามติ ว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านใช้รัฐธรรมนูญ 5 ปีแรก เห็นชอบหรือไม่ ให้ สว.มีอำนาจร่วมกับ สส.ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ทางหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ได้สอบถามความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อถอดรหัสคำถามพ่วงดังกล่าวว่ามีนัยทางการเมืองอย่างไร
เจษฎ์ โทณะวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถามพ่วงให้ สว.มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะเชื่อว่าน่าจะมีผลลบมากกว่าผลบวก ด้วยเหตุผลคือ แม้การให้ สว.ช่วยเหลือนายกรัฐมนตรีจะมีข้อดี คือทั้ง สส.กับ สว.จะได้ช่วยกันคัดเลือกผู้เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่จะมีผลลบมากกว่า เพราะหากคำถามพ่วงดังกล่าวผ่านประชามติ ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อย่าลืมว่าในรัฐธรรมนูญมี 2 ส่วน คือ บทหลักที่เกี่ยวข้องกับที่มานายกรัฐมนตรี มาจาก 3 รายชื่อที่แต่ละพรรคการเมืองเสนอว่าบุคคลใดเหมาะสมแล้วดำเนินการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกันในสภา ซึ่งต้องได้คะแนนโหวตเกินครึ่งนั้นคือ การดำเนินการตามปกติ แต่เมื่อไม่สามารถดำเนินการได้ตามบทหลักในรัฐธรรมนูญปกติได้ ต้องนำไปสู่การใช้บทเฉพาะกาล คือ สว.เข้ามาร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วย จึงเกิดคำถามว่าจะแก้รัฐธรรมนูญอย่างไร ระหว่างหยิบ 3 รายชื่อจากพรรคการเมืองเสนอมาแล้วจากนั้นทั้ง สส.กับ สว.ช่วยกันโหวตเลือก 1 ใน 3 หรือจะโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีจากคนนอกกันไปเลย ซึ่งในระบบปกติการให้ สว.มาร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีด้วยถือว่าสถานการณ์ทางการเมืองไม่ปกติ เพราะเป็นการให้อำนาจ สว.เข้ามาควบคุม สส. กับฝ่ายบริหารของรัฐบาลชุดใหม่นั่นเอง
“สิ่งที่กังวลและต้องระมัดระวัง หากนายกรัฐมนตรีมาจากคนนอก อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเมื่อครั้งเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 เป็นเหตุการณ์ให้ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวประท้วงนายกรัฐมนตรีจากคนนอก ดังนั้นจึงควรทบทวนให้ดีว่าผลของการตั้งคำถามพ่วงแบบนี้ดีหรือไม่ เพราะเห็นว่าน่าจะเป็นผลลบมากกว่าบวก” เจษฎ์ กล่าว
วิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า การตั้งคำถามพ่วงแบบนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะเป็นคนละประเด็นกับการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญในการลงประชามติ และยังเป็นความขัดแย้งกันเองระหว่างคำถามพ่วงกับเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญเสียด้วยซ้ำ ซึ่งอาจเกิดปัญหาขึ้นมาในอนาคตได้ และเห็นว่าควรตั้งคำถามต่อประชาชนว่าหากไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ประชาชนจะนำรัฐธรรมนูญฉบับไหนมาใช้แทน เช่น รัฐธรรมนูญ ปี 2540 หรือปี 2550 เป็นต้น เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบว่าประชาชนต้องการใช้รัฐธรรมนูญฉบับใด
“ประเมินแล้วผมเห็นว่าสิ่งสำคัญที่ทาง สนช.กับ สปท.ต้องการจริงๆ ในการตั้งคำถามพ่วงครั้งนี้ คือ อยากสร้างความชอบธรรมให้มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากคนนอกมากกว่า ไม่เกี่ยวกับการทำประชามติรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญเลย” วิทยากร กล่าว
สดศรี สัตยธรรม อดีตกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวว่า การให้อำนาจ สว.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ถือว่าเป็นเรื่องไม่แปลกหรือผิดปกติแต่อย่างใด เพราะทราบดีว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ต้องการปล่อยมือในช่วงเปลี่ยนผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ทั้งเรื่องการแต่งตั้ง สว.จำนวน 250 คน หรือการตั้งคำถามพ่วงดังกล่าว แต่สิ่งสำคัญไปกว่านั้น คือ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชนและนักการเมือง ว่าจะเห็นด้วยกับการให้อำนาจ สว.แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ต่างหาก
“ต้องคอยดูว่านักการเมืองจะยอมปรับปรุงตัวหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศตามแนวทาง คสช.ได้หรือไม่ ที่สำคัญนักการเมืองจะยอมแชร์ หรือแบ่งอำนาจระหว่างกลุ่มอำนาจการเมืองเดิมที่เป็น สว.ผ่านการแต่งตั้งจาก คสช. กับกลุ่มอำนาจการเมืองใหม่ที่เป็นนักการเมือง หรือ สส.ที่มาจากการเลือกตั้ง” สดศรี กล่าว
สดศรี กล่าวว่า สิ่งสำคัญต้องรอการตัดสินใจของประชาชนในวันลงประชามติ 7 ส.ค.นี้ ด้วยว่าจะคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ขณะเดียวกันคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องชี้แจง 2 เรื่องสำคัญ คือ ร่างรัฐธรรมนูญกับคำถามพ่วง ว่าทั้งเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญเป็นอย่างไร เป็นหน้าที่เดียวกันกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ต้องชี้แจงและอธิบายสังคมให้รับทราบเนื้อหารัฐธรรมูญ ขณะที่ กกต.ต้องอธิบายขยายความคำถามพ่วงดังกล่าวว่ามีความหมายอย่างไรให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะในการลงประชามติมี 2 ประเด็นสำคัญ คือ รับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ กับเห็นด้วยหรือไม่กับคำถามพ่วง ซึ่งหากประชาชนส่วนใหญ่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้นหมายความว่าคำถามพ่วงก็ตกไปโดยปริยายด้วยหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ต้องอธิบายให้ประชาชนได้รับรู้ด้วย
รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า การตั้งคำถามพ่วงประชามติดังกล่าวจะก่อให้เกิดความสับสนซับซ้อนวุ่นวายในภายหลัง ที่สำคัญจะเป็นตัวถ่วงทำให้ประชามติไม่ผ่านได้ เพราะเกิดความขัดแย้งในตัวเองเกี่ยวกับอำนาจ เพราะในร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดให้ สว.มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ในคำถามพ่วงประชามติกลับบรรจุไว้ให้มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี ดังนั้นหากประชามติผ่านย่อมเกิดปัญหาภายหลังว่าต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ เกี่ยวกับเนื้อหาของอำนาจ สว.ในคำถามพ่วงกับเนื้อหาอำนาจ สว.ในร่างรัฐธรรมนูญ จึงนำไปสู่การลบล้างอำนาจกันเสียเอง
ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้ทั้ง สนช.และ สปท. ที่เป็นฝ่ายสนับสนุนคำถามพ่วงดังกล่าว ควรเว้นวรรค 2 ปี เพราะอย่าลืมว่าร่างรัฐธรรมนูญนี้ตั้งฉายากันเองว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง จึงต้องให้ความสำคัญกับหลักการเรื่องความขัดกันแห่งผลประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้นทั้ง สนช.และ สปท. จะต้องเว้นวรรคการดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2 ปี เช่นเดียวกับกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่ต้องเว้นวรรคทางการเมือง โดยขอเสนอให้เพิ่มเติมในมาตรา 267 ของร่างรัฐธรรมนูญด้วย


