ตัดตอนขันแดง ดาบสองคม คสช.​
กลายเป็น “ดาบสองคม” ที่กำลังย้อนกลับมาสร้างปัญหาให้ คสช. สำหรับปฏิบัติการตรวจยึดขันน้ำสีแดง
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
กลายเป็น “ดาบสองคม” ที่กำลังย้อนกลับมาสร้างปัญหาให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สำหรับปฏิบัติการตรวจยึดขันน้ำสีแดงจำนวน 8,862 ใบ ที่บ้านพัก สิรินทร รามสูต อดีต สส.พรรคเพื่อไทย จ.น่าน เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในมุมมองของรัฐบาล คสช. ขันแดง ที่เขียนข้อความ “สุขสันต์วันสงกรานต์ปีใหม่ 2559 แม้สถานการณ์จะร้อน ขอให้พี่น้องได้รับความเย็นจากน้ำผ่านขันใบนี้ด้วยครับ รักและห่วงใย” ลงชื่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร 13 เม.ย. 2559 ถือเป็นภัยต่อความมั่นคง
ถึงขั้นที่ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า การแจกขันแดงนี้เป็นพฤติกรรมที่ยอมรับไม่ได้ เพราะมีเจตนายั่วยุปลุกปั่นให้เกิดการแบ่งแยกประชาชนออกเป็นสี เป็นฝ่าย ทั้งที่รัฐบาลและพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศพยายามที่จะก้าวข้ามความขัดแย้งและปัญหาในอดีต หันหน้าเข้าปรองดอง รวมความสามัคคีของคนในชาติให้เป็นปึกแผ่น
“มีวิธีแสดงออกมากมายที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ใจต่อเทศกาลและต่อประเทศชาติ แต่การเลือกกระทำในสิ่งที่มีนัยแฝงเช่นนี้ ตีความได้เพียงประการเดียว คือ ฉวยโอกาสจากเทศกาลมาสร้างสถานการณ์ความแตกแยกและก่อความวุ่นวายในสังคม”
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. มองว่า “การสนับสนุนผู้กระทำความผิดหนีคดีและแพร่รูปให้สังคมเห็น ให้สังคมสนใจ ตรงนี้ผิดหรือเปล่า ถ้าไม่ผิดก็คือไม่ผิด แต่มันควรทำหรือเปล่า บางอย่างไม่ได้ผิด บางอย่างก็ผิด บางอย่างมันสมควรทำหรือไม่ เขาเรียกความละอายและเกรงกลัวต่อบาป รู้จักไหมหิริโอตตัปปะ
“สื่อก็รู้เจตนาว่าเขาทำเพื่ออะไร เป็นเครื่องขยายเสียงให้เขาได้ทุกวัน ถ้าเจตนาดีมันจะมาแจกทำไมกันละขัน แจกตุ่มซิ เอาไว้เก็บน้ำฝน ขันเอามาทำไม ปัดโธ่ ก็รู้อยู่ว่าเจตนาเขาทำเพื่ออะไร”
สุดท้ายจึงนำมาสู่การตัดไฟแต่ต้นลม ส่งทหารกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย มณฑลทหารบกที่ 38 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ อาศัยอำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 3/2559 ลงวันที่ 1 เม.ย. 2559 ตรวจค้นและยึดขันดังกล่าว
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ คสช.งัด “ยาแรง” มาตัดตอนกระแสทักษิณ ไม่ให้บานปลายติดลมบน จนอาจควบคุมไม่อยู่
ก่อนหน้านี้ ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ คสช.เคยสั่งสกัดไม่ให้แจกจ่ายปฏิทินที่มีรูปทักษิณในพื้นที่ต่างๆ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมไปแล้วรอบหนึ่ง
รอบนี้ก็เช่นกัน “ขันแดง” ถูกมองว่าเป็นความพยายามสร้างกระแสปลุกปั่นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทางการเมือง โดยเฉพาะการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ยิ่งก่อนหน้านี้ ทักษิณเริ่มขยับออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ คสช. รวมไปถึงเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญ จนเป็นห่วงกันว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้อาจไม่เป็นผลดีกับ คสช.ในอนาคต ทำให้จำเป็นต้องรีบออกมาเบรกไม่ให้ทุกอย่างบานปลาย
อีกมุมหนึ่งการแจกขันยังถือเป็นการเช็กเรตติ้งวัดความเหนียวแน่นของฐานเสียงในพื้นที่ รวมทั้งเช็กกระแสตอบรับจากทั้งประชาชนในพื้นที่ และการตอบโต้ของ คสช. ที่จะมีผลต่อการตัดสินใจเคลื่อนไหวอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปในอนาคต
แน่นอนทางฝั่งทักษิณออกมาตอบโต้ คสช. ชี้แจงว่า “เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทุกวันสงกรานต์ ผมจะต้องทำของมาแจกทุกปีอยู่แล้ว แจกมาเป็นสิบๆ รอบ ไม่เห็นเคยมีปัญหาทำให้ความมั่นคงของชาติจะสั่นคลอนไปแต่อย่างใด วันนี้ทหารแจ้งว่าจะตั้งข้อหาผิดมาตรา 116 ควรเอาเวลาไปดูแลพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยแล้ง เรื่องระเบิดภาคใต้ เรื่องยาเสพติดที่ระบาดเต็มเมือง ให้คุ้มกับเงินภาษีอากรที่เสียให้พวกท่านจะดีกว่า
“โดนยัดข้อหามาหลายคดีแล้ว จะโดนข้อหาแจกขันน้ำทำลายความมั่นคงอีกสักกระทงจะเป็นไรไป เผลอๆ จะดีเสียอีกเป็นข่าวดังไปทั่วโลก อดีตนายกฯ ไทย โดนข้อหาแจกขันน้ำทำลายความมั่นคงเนื่องในวันสงกรานต์ของไทย หรือว่ามันเป็นนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลนี้ ทำให้วันสงกรานต์โด่งดังไปทั่วโลกในยุคเศรษฐกิจฝืดเคือง”
ชัดเจนว่าการตัดสินใจของ คสช. เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้จะรู้ว่าเป็น “กับดัก” เพราะรู้ทั้งรู้ว่าการเข้าไปสกัดขันแดงอาจกลายเป็นประเด็นที่คนทั่วโลกหันมามองว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ แถมเข้าทางสร้างกระแสให้ฝั่งตรงข้าม
แถมหากทำไม่ดีอาจเกิดกระแสตีกลับเรียกความสงสารเห็นใจจนกลายเป็นแรงเสียดทาน ที่ย้อนกลับมายัง คสช.ในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มที่จ้องจะหยิบประเด็นเรื่องการทำเกินกว่าเหตุไปขยายผล
แต่อีกด้านหนึ่ง หากไม่ทำอะไรเลยปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามปกติ ย่อมอาจเกิดการรุกคืบเคลื่อนไหวที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จน คสช.ยากจะเข้าไปควบคุม
มาตรการนี้จึงเป็นดาบสองคมที่ทั้งให้คุณและให้โทษกับ คสช.ในเวลาเดียวกัน


