พบผู้ถูกคุมประพฤติเบี้ยวรายงานตัวปี58กว่า 5 หมื่น
กรมคุมประพฤติเผย ปี58 ผู้ถูกคุมประพฤติไม่มารายงานตัวกว่า 5 หมื่นราย เร่งปรับแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่
กรมคุมประพฤติเผย ปี58 ผู้ถูกคุมประพฤติไม่มารายงานตัวกว่า 5 หมื่นราย เร่งปรับแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจเจ้าหน้าที่
เมื่อวันที่15 มี.ค. พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวถึงภารกิจของกรมคุมประพฤติตามนโยบายของรัฐบาลและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นการทำงานเชิงรุกและเป็นรูปธรรม 6 ข้อ ว่า ในกระทรวงยุติธรรมมี 3 กรมที่ดูแลเกี่ยวกับผู้กระทำผิด โดยมีกรมราชทัณฑ์เป็นเรือนจำสำหรับควบคุมนักโทษผู้ใหญ่ กรมพินิจเป็นคุกเด็กดูแลเยาวชน และกรมคุมประพฤติเป็นคุกที่ไม่มีรั้วหรือคุกชุมชนซึ่งผู้กระทำผิดต้องโทษอาญาไม่เกิน 3 ปี หรือ รอการพักลงโทษของกระทรวงยุติธรรม โดยจะมีผู้กระทำผิดเข้ารับการดูแลของกรมคุมประพฤติประมาณ 330,000 – 350,000 คนต่อปี
พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวอีกว่า สำหรับ 6 ข้อตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงยุติธรรม
1.การนำกำไลอิเล็กทรอนิกส์ (EM) มาใช้ในการคุมประพฤติ โดยผู้กระทำผิดยังสามารถชีวิตในสังคมได้ตามปกติ อาทิ เรียนหนังสือ ทำงานหาเลี้ยงชีพ และใช้เวลาอยู่กับครอบครัวแต่ไม่สามารถออกนอกเส้นทางกำหนดได้ อีกทั้ง ไม่ต้องถูกควบคุมตัวในเรือนจำหรือทัณฑสถาน นอกจากนี้ กรมคุมประพฤติเคยนำร่องใช้ (EM) เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนแต่เป็นเพียงระบบเช่า จำนวน 3,000 เครื่อง และปีนี้กำลังรองบประมาณส่วนกลาง 18 ล้านบาทเพื่อจัดซื้อ (EM) จำนวน 400 เครื่อง ซึ่งจะช่วยลดความแออัดผู้กระทำผิดภายในเรือนจำ
2.บ้านกึ่งวิธี เพื่อเป็นสถานที่พักชั่วคราวในการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจแก่ผู้กระทำผิดและผู้บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่ไม่มีที่พักอาศัยหรือยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ อาทิ ยังไม่มีงานทำ ยังเลิกยาเสพติดไม่ขาด ปัจจุบันมีบ้านกึ่งวิธีที่ได้รับรอง จำนวน 81 แห่ง 62 จังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้ง ได้ใช้สถานที่ประกอบศาสนาเป็นที่พักของบุคคลกลุ่มนี้ เช่น วัด โบสถ์ มัสยิด สำหรับกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้กระทำผิดที่อยู่ในความดูแลของกรมคุมประพฤติที่มีความสมัครใจและผู้กระทำผิดที่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ บ้านกึ่งวิธีจะรับเข้ามาดูแลพร้อมสร้างอาชีพ ทั้งนี้ จะดำเนินการขยายให้ครอบคลุมทุกจังหวัดภายในปี พ.ศ.2559
3.หน่วยกึ่งวิธี หรือสถานที่เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดแบบควบคุมตัว ซึ่งได้รับความร่วมมือจากกองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย โดยทางกรมคุมประพฤติจะส่งบุคลากรตำแหน่งพนักงานคุมประพฤติไปประจำหน่วยกึ่งถาวรทุกแห่งเพื่อประสานการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ปัจจุบันมีสถานที่เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด 84 แห่ง ครอบคลุม 46 จังหวัด และมีเป้าหมายจะขยายเพิ่มอีก 20 แห่งภายในปี พ.ศ.2560
4.การใช้มาตรการลงโทษทางสังคม (Social Sanction) เพื่อกดดันผู้ที่ผิดเงื่อนไขการคุมประพฤติหรือการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดให้กลับเข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติ โดยมีการทำข้อตกลงกับหลายหน่วยงาน อาทิ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อกลั่นกรองผู้ที่อยู่ในระบบงานคุมประพฤติที่ยังไม่พ้นการควบคุมเข้ารับการอุปสมบท และกรมการขนส่ง ห้ามผู้ที่หนีการคุมประพฤติไม่สามารถขออนุญาตต่อใบขับขี่ได้
5.การเสนอแก้ไขร่าง พ.ร.บ.คุมประพฤติ พ.ศ. ... เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอำนาจหน้าที่ของพนักงานคุมประพฤติให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ปัญหาที่ผ่านมามีผู้กระทำผิดเงื่อนไขหลบหนีไม่ยอมมารายงานตัวและถ้ากฎหมายผ่านความเห็นชอบจะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตาม ตรวจค้นผู้ไม่ทำตามกฎมารับโทษ โดยปีที่ผ่านมามีบุคคลที่ไม่ยอมรายงานตัว 53,000 คน
พ.ต.อ.ณรัชต์ เปิดเผยว่า 6.การบูรณาการอาสาสมัครกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมติคณะรัฐมนตรี ให้มีการบูรณาการทำงานของอาสาสมัครคุมประพฤติร่วมกับอาสาสมัครอื่นๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งมี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบนโยบายสร้างอาสาสมัครคุมประพฤติครอบคลุมทุกตำบลทั่วประเทศเพื่อร่วมขับเคลื่อนภารกิจของกรมคุมประพฤติไปสู่เป้าหมายหลัก คือ “คืนคนดีสู่สังคม” โดยปัจจุบันมีกรมคุมประพฤติมีอาสาสมัครคุมประพฤติทั่วประเทศ 20,008 คน
“ส่วนสถิติผู้กระทำผิดเข้ารับการดูแลของกรมคุมประพฤติประมาณ 330,000 – 350,000 คนต่อปีนั้นแบ่งออกเป็น 1.รอลงอาญาไม่เกิน 3 ปี จะส่งมากรมคุมประพฤติเพื่อทำรายงานว่าเป็นบุคคลที่ควรให้อภัยหรือเป็นบุคคลอันตรายก่อนพิจารณาลงโทษ ประมาณ 100,000 ราย 2.ผู้เสพยาเสพติดเข้ารับการบำบัดก่อนส่งรักษาตัว กลุ่มนี้ประมาณ 20,000 คน และ 3.กลุ่มผู้ทำผิดกฎหมายได้รับโทษไปแล้วเหลือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือเป็นนักโทษชั้นดีหรือได้รับการสั่งลดโทษ ประมาณอีก 100,000 ราย ซึ่งออกจากเรือนจำก่อนกำหนดแต่ต้องมารายงานตัว” พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าว
พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าวปิดท้ายว่า นโยบายของรัฐบาลโดย พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา จะลดโทษกลุ่มคดียาเสพติดเพื่อลดจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำ เพราะปัจจุบันผู้ต้องขังในเรือนจำที่มีอยู่จำนวนกว่า 3 แสนคนนั้น เป็นผู้ต้องโทษในคดียาเสพติดจำนวน 70 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น พล.อ.ไพบูลย์ จึงมีแนวคิดว่าคุกในอนาคตจะมีไว้ขังเฉพาะนักโทษขาใหญ่ และโทษร้ายแรงเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่เหลือจะแยกให้ใช้วิธีการควบคุมพฤตินิสัยแทนโทษจองจำ โดยนำวิธีการบังคับบำบัดมาใช้ ซึ่งในอนาคตจำนวนคนที่ถูกขังในคุกจะน้อยลงทำให้งานราชทัณฑ์ลดลง แต่ขณะเดียวกันจะทำให้งานคุมประพฤติที่อยู่ในความดูแลของกรมคุมประพฤติจะหนักมากขึ้นแทน เพราะงานคุมประพฤติเปรียบเหมือนคุกที่อยู่ในชุมชน ดังนั้น งานยุทธศาสตร์ของกรมคุมประพฤติเราจะทำช่วยกันส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพราะต่อไปงานราชทัณฑ์จะเล็กลง แต่ตรงกันกันข้ามงานคุมประพฤติจะใหญ่ขึ้น


