แบบเรียนในดวงใจ ถึง ‘มานี มี หม้อ’
คนในยุคเจเนอเรชั่นเอ็กซ์กลางๆ พ่วงเจนวายต้นๆ ที่เติบโตมากับแบบเรียนภาษาไทย ชุด มานะ มานี ปิติ ชูใจ
โดย...ดวงใจ จิตต์มงคล
คนในยุคเจเนอเรชั่นเอ็กซ์กลางๆ พ่วงเจนวายต้นๆ ที่เติบโตมากับแบบเรียนภาษาไทย ชุด มานะ มานี ปิติ ชูใจ ผลงานเขียนของ อาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ ผู้แต่งแบบเรียนวิชาภาษาไทย ในโรงเรียนประถมทั่วประเทศ ตามหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521-2537 ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันแบบเรียนชุดดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ทว่าตัวละครเหล่านี้ยังอยู่ในหัวใจของใครหลายคน ที่นึกถึงทีไรก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจกับการเรียนภาษาไทยเมื่อวัยเยาว์ทุกครั้ง
เช่นเดียวกับ พีรศักดิ์ เหลี่ยมมุกดา ผู้ก่อตั้งธุรกิจร้านอาหาร มานี มี หม้อ ที่บอกเล่าที่มาของชื่อร้าน ซึ่งได้มาจากหนึ่งในตัวเอกแบบเรียนชุดดังกล่าว คือ “มานี” สาวน้อยที่มาพร้อมกับคาแรกเตอร์เด่น ผูกผมแกละสองข้าง ใส่เสื้อคอกระเช้า และนุ่งผ้าถุงตัวจิ๋ว ที่สำคัญชอบออกไป ดู ปู กับ อา ที่ นา บ่อยๆ
สำหรับการเลือกใช้คาแรกเตอร์มานีเพื่อทำธุรกิจร้านอาหารประเภทหม้อต้มแบบนี้ มาจากความตั้งใจหลัก คือ อยากให้เป็นร้านอาหารแบรนด์ที่คนไทยรัก ขณะเดียวกันยังต้องการสื่อถึงความเป็นอาหารประเภทต้มแบรนด์ไทย โดยเฉพาะเมื่อมีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และมีโอกาสเข้ามาทานอาหารที่ร้าน และเมื่อกลับไปแล้ว หรือต้องการบอกต่อก็จะต้องพูดถึงชื่อร้านมานีฯ ขึ้นมาได้ทันที ด้วยหวังให้คำว่า มานี นั้นยังหมายถึงการเป็นตัวแทนของร้านอาหารสายหม้อต้มสัญชาติไทยที่แสนอร่อยอีกด้วย
“จากนั้นได้เดินทางไปพบอาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ ที่บ้านท่าน เพื่อขออนุญาตใช้คาแรกเตอร์มานีมาเป็นสัญลักษณ์ สร้างเป็นไอคอนนิกของร้านอาหาร ซึ่งอาจารย์ก็ได้ให้ความกรุณามากๆ อนุญาตให้เรานำมาใช้ ซึ่งผมเองก็มองว่าตัวละครมานีจะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนรุ่นพ่อแม่ในตอนนี้มาสู่คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันได้ ซึ่งแม้ปัจจุบันอาจารย์รัชนีจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังระลึกถึงท่านอยู่ในใจเสมอ”
ขณะที่คาแรกเตอร์จริงๆ ของร้านมานี มี หม้อ ที่ได้รับสิทธิถูกต้องนั้น คือ มานีตัวจริงโลโก้ต้องเท้าคาง ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 6 สาขา โดยแต่ละสาขาจะมีธีมเข้ามากำกับ หรือที่เรียกว่าเป็นธีมเรสเทอรองต์เพื่อสร้างความสนุกให้กับร้านในแต่ละทำเล
หรืออย่างสาขาล่าสุด เพิ่งเปิดไปเมื่อต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน ซึ่งถือเป็นร้านต้นแบบคอนเซ็ปต์ใหม่ แนวบุฟเฟ่ต์ ที่มาพร้อมกับคาแรกเตอร์ใหม่ของมานีด้วยเช่นกัน คือ “มานีคาเมะ” โดยมีที่มาที่ไป คือ มานีไปเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วกลับมาเมืองไทย ซึ่งนอกจากจะตกแต่งตัวร้านใหม่แล้ว ยังมีความต่างไปจากร้านรูปแบบเดิมอีก 3 ส่วน คือ กลุ่มอาหารเรียกน้ำย่อย (แอพเพอไทต์) กลุ่มอาหารหลัก (เมนูไลน์) และกลุ่มที่เรียกว่าเซอร์ไพรส์ ซึ่งอย่างหลังจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องให้ลูกค้าสายกินเป็นผู้ไปพิสูจน์เอง วางราคาต่อหัวอยู่ที่ 355 บาท จำกัดเวลารับประทาน 1 ชั่วโมงครึ่ง
พีรศักดิ์ ยังบอกหลักบริหารธุรกิจร้านมานี มี หม้อ ที่ปัจจุบันให้บริการมากว่า 2 ปี ภายใต้กลยุทธ์ “อาร์ต มาร์เก็ตติ้ง” หรือ ชื่อที่เขาเอาไว้เรียกเองว่า เป็นร้านอาหารชาบูสายอาร์ต ด้วยส่วนหนึ่งที่ตัวเขาเองคลุกคลีมาทั้งการทำงานงานศิลปะ ด้านสถาปนิก บวกกับมีดีกรีด้านการตลาด พร้อมยกตัวอย่างถึงการจับกลุ่มลูกค้าที่เรียกว่า กลุ่มไลฟ์สไตล์ คือ ทุกเพศ ทุกวัย สามารถเข้ามารับประทานที่ร้านได้หมด หากมีไลฟ์สไตล์ตรงกัน โดยไม่แบ่งแยกว่าจะเป็นเฉพาะ กลุ่มครอบครัว หรือเฟิสต์ จ็อบเบอร์
สำหรับจุดเด่นของร้านมานี มี หม้อ ต้นตำรับ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเมนูไฮไลต์ต่างๆ อย่าง มันกุ้ง หมูทอดเทวดา ข้าวหน้ามันกุ้งเสวย หรือลูกชิ้นมันกุ้งหนึ่งในใจมานี เป็นต้น ที่ยังไม่รวมน้ำจิ้มสูตรพิเศษ รสชาติเปรี้ยว หวาน แยกมาคนละขวด หากจะกินก็ต้องเอาน้ำจิ้มทั้งสองแบบมาผสมกันก่อน ซึ่งเป็นสูตรเด็ดของคุณแม่เขาเอง
ส่วนแผนงานในปี 2559 นี้ จะขยายธุรกิจร้านอาหารสาขาดังกล่าวได้ครบ 25 สาขา เน้นทำเลหลักในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ดังกล่าวที่เป็นต้นตำรับที่อยู่ในกรุงเทพฯ โดยแต่ละสาขาคาดใช้งบลงทุนเฉลี่ย 7 ล้านบาทขึ้นไป รวมแล้วใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ยังอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์เพื่อขยายธุรกิจแบรนด์ มานี มี หม้อ ทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะให้สิทธิการทำตลาดผ่านตัวแทนขาย (โซลเอเยนต์) ซึ่งตัวแทน 1 รายสามารถบริหารหรือดูแลสาขาร้านมานี มี หม้อ ครอบคลุมได้ 3 จังหวัด หรือในระดับภูมิภาค เป็นต้น
ปัจจุบันร้านจะมียอดขายจากกลุ่มลูกค้าเฉลี่ย 300-350 บาท/หัว ซึ่งจากแผนธุรกิจในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายรายได้ 400-500 ล้านบาท หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 200% จากในปี 2558 เติบโตจากปีแรกที่ทำธุรกิจ 150% และวางเป้าหมายรายได้ในปี 2560 อยู่ที่ 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันตลาดรวมร้านอาหารประเภทหม้อต้ม หรือชาบูทุกประเภทรวมกันอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท และมีโอกาสขยายเป็น 4 หมื่นล้านบาท ในเร็วๆ นี้
พร้อมปิดท้าย คีย์ ออฟ ซัคเซส กุญแจแห่งความสำเร็จธุรกิจร้านที่เจ้าตัวบอกว่า น่าจะมาจากจุดหลัก คือ หากจะทำธุรกิจขายอาหารนั้น ความอร่อยต้องมีและมาก่อนเป็นอันดับแรก ภายใต้สโลแกน “อร่อยใจๆ”
เพราะเมื่อเห็นลูกค้าเข้ามารับประทานอาหารที่ร้านแล้วอร่อย สนุก เราก็เกิดความรู้สึกสุขใจตามไปด้วย


