"บุหรี่แพง นักสูบลด" เรื่องจริงหรือแค่มโน?
มาตรการขึ้นภาษีบุหรี่ ช่วยให้คนลด ละ เลิกสูบบุหรี่ได้จริงหรือ?
โดย...อินทรชัย พาณิชกุล
หนึ่งเดือนหลังการประกาศขึ้นภาษีสรรพสามิตยาสูบ ส่งผลให้ราคาบุหรี่พุ่งสูงถึงซองละ 20 บาท ตามมาด้วยกระแสต่อว่าต่อขานจากสิงห์อมควันทั่วประเทศ
การปรับขึ้นภาษีบุหรี่ครั้งนี้ รัฐบาลให้เหตุผลว่าจะเก็บเงินเข้าคลังเพิ่มขึ้นได้อีก 15,000 ล้านบาท ทั้งยังช่วยลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ลง แบ่งเบาค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากบุหรี่ลงได้อีกมหาศาล
คำถามที่หลายคนอยากรู้คือ บุหรี่แพงช่วยให้นักสูบลด ละ เลิกสูบบุหรี่ได้จริงหรือ
ย้อนรอย"ภาษียาสูบ"
จากการศึกษาเรื่อง "วิวัฒนาการของการควบคุมการบริโภคยาสูบในเมืองไทย" โดยชูชัย ศุภวงศ์, สุภกร บัวสาย และจิตสิริ ธนภัทร สถาบันวิจัยสาธารณสุข (สวรส.) ระบุว่า การควบคุมการบริโภคยาสูบในไทยแบ่งออกเป็น 4 ช่วง
ช่วงแรก ก่อนปีพ.ศ. 2529 การดำเนินการเป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำ ขาดความต่อเนื่อง
ช่วงที่สอง 2529-2532 มีการประสานงานกันและจัดตั้งองค์กรเพื่อควบคุมการบริโภคยาสูบ เช่น การก่อตั้งมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ คณะกรรมการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งชาติ สำนักควบคุมยาสูบ กระทรวงสาธารณสุข
ช่วงที่สาม 2532-2534 ถูกประเทศมหาอำนาจใช้กฎหมายทางการค้าบีบบังคับให้เปิดตลาดบุหรี่ต่างประเทศ
ช่วงที่สี่ 2534-2539 ช่วงเวลาของการใช้มาตรการทางกฎหมายและภาษี เช่น ออกกฎหมายควบคุมโฆษณาและส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ยาสูบ ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ รวมทั้งการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตยาสูบ
ปัจจุบัน ระบบภาษียาสูบของไทยใช้นโยบาย "สองเลือกหนึ่ง" หมายถึง คำนวณภาษีตามราคาต้นทุนที่บริษัทบุหรี่แจ้ง และคำนวณภาษีตามสภาพ คือ ตามน้ำหนักมวนบุหรี่ หากวิธีคำนวณไหนมีมูลค่าภาษีมากกว่าก็ให้เก็บตามวิธีนั้น
ข้อมูลจากมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ พบว่า ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ยอดจำหน่ายบุหรี่เฉลี่ยคงที่ ประมาณ 2,000 ล้านซอง ทว่ารายได้จากการเก็บภาษีเพิ่มเป็น 4 เท่า ยกตัวอย่าง เช่น ปี 2534 เก็บภาษีได้ 15,898 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราภาษี 55 % ปี 2558 อัตราภาษีกระโดดไปถึง 87 % เก็บภาษีได้ 62,733 ล้านบาท นอกจากนี้ ยาสูบถือเป็นหนึ่งในสินค้าที่ถูกจัดเก็บภาษีไว้ในหมวดภาษีบาป (Sin tax) หมายถึง กิจกรรมที่รัฐไม่สนับสนุน เนื่องจากส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ต่อมาจึงมีแนวคิดที่จะนำเงินส่วนหนึ่งของภาษีบาปไปสนับสนุนกิจองค์กรทางสังคมอื่นๆ เช่น หัก 2 % ของภาษีที่ต้องชำระในแต่ละปีไปสนับสนุนการทำงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) 1.5 % สนับสนุนสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อีก 2 % สนับสนุนกองทุนการกีฬา เป็นต้น
ล่าสุดการปรับขึ้นราคาภาษียาสูบ เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศใช้กฎกระทรวงปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบทั้งสองแบบ คือ คำนวณภาษีจากราคาต้นทุน จากเดิม 87% ปรับขึ้นเป็น 90% และคำนวณภาษีตามสภาพ จากเดิมเก็บ 1 บาทต่อกรัม ขยับขึ้นเป็น 1.1 บาทต่อกรัม ส่งผลให้ราคาบุหรี่ที่ขายในประเทศเพิ่มขึ้น 5-20 บาท ยกตัวอย่างบุหรี่ยี่ห้อดังของต่างประเทศที่เคยจำหน่าย 95 บาทต่อซอง ปรับเป็น 120 บาทต่อซอง บุหรี่ต่างประเทศยี่ห้อดังอีกราย 66 บาทต่อซอง เพิ่มเป็น 80 บาทต่อซอง ส่วนบุหรี่ในประเทศยี่ห้อดัง ราคา 67 บาทต่อซอง ปรับเป็น 80 บาทต่อซอง ขณะที่บุหรี่ราคาต่ำสุดเคยขายอยู่ที่ 35 บาทต่อซอง ปรับเป็น 40 บาทต่อซอง เป็นต้น
"ขึ้นราคาบุหรี่"ยาแรงได้ผลชะงัด
ว่ากันว่า มาตรการขึ้นภาษียาสูบถือเป็นวิธีการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ลงได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แม้แต่บริษัทบุหรี่ยักษ์ใหญ่ยังออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านด้วยความหวั่นเกรง
ดังเช่นหนังสือชื่อ "Trust us We'are The Tobacco Industry" เขียนโดย รอสส์ แฮมมอนด์ และแอนดี้ โรเวล ได้เผยแพร่เอกสารลับภายในของบริษัทบุหรี่ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งแสดงความวิตกกังวลต่อการขึ้นภาษีสรรพสามิตยาสูบว่า
"ในบรรดาความวิตกกังวลทั้งหมด มีอยู่ข้อหนึ่งที่ทำให้เราหวาดหวั่นมากที่สุด นั่นคือ การเก็บภาษีอากร แม้ว่ามาตรการจำกัดกิจกรรมการตลาด การสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ และการสูบบุหรี่มือสองทำให้ยอดขายลดลง แต่จากประสบการณ์ของเรา การเก็บภาษีอากรทำให้ยอดขายลดฮวบฮาบลงกว่านั้นได้มากทีเดียว"
หนังสือเล่มนี้ยังระบุอีกว่า การคงระดับราคาผลิตภัณฑ์ยาสูบให้ต่ำมีความสำคัญมากสำหรับความพยายามของบริษัทบุหรี่ที่จะรักษาลูกค้าในปัจจุบันเอาไว้ พร้อมๆกับดึงดูดใจให้คนเริ่มสูบบุหรี่ ยกตัวอย่างในละตินอเมริกา มาร์ลโบโร เรด มีเสน่ห์ดึงดูดใจผู้สูบบุหรี่วัยหนุ่มสาวตอนต้นและผู้เริ่มสูบบุหรี่เป็นอย่างมาก เคล็ดลับของการเติบโตของมาร์ลโบโร เรดในตลาดละติน อเมริกาคือ ราคาที่ย่อมเยา
ศาสตราจารย์ นพ. ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันกลุ่มผู้สูบบุหรี่แบ่งเป็น 5 กลุ่มคือ รวยมาก รวย ปานกลาง จน และจนมาก
"บุหรี่แพง คนรวยมากกับรวยจะไม่ได้รับผลกระทบเลย ยังสูบยี่ห้อเดิมในปริมาณเท่าเดิม ขณะที่คนฐานะปานกลาง อาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อย เช่น ลดปริมาณการสูบลง จากสัปดาห์ละ 2 ซองเหลือ 1 ซอง แต่ไม่เปลี่ยนยี่ห้อ คนจนจะเปลี่ยนหันไปสูบยี่ห้อที่ราคาถูกกว่า หรือเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ไปสูบยาเส้น สุดท้ายคนจนมาก กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบหนักสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติ 2557 เคยสำรวจว่า คนจนสุดๆที่มีรายได้เฉลี่ยเพียงเดือนละ 1,982 บาท ต้องเสียเงินซื้อบุหรี่ถึงเดือนละ 426.8 บาท นับเป็น 21.5 % ของรายได้ ถ้าบุหรี่แพงขึ้น บางคนอาจเลิกสูบเพราะซื้อไม่ไหว ผมว่าถ้าคนจนเลิกได้ มันจะปลดเขาออกไปจากวงจรชีวิตเดิมๆ เงินที่เคยเสียค่าบุหรี่เปลี่ยนไปซื้อสิ่งจำเป็นอย่างอื่น คุณภาพชีวิตของเขาก็จะดีขึ้น"
เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ยอมรับว่า การขึ้นภาษีบุหรี่มีส่วนทำให้คนเลิกบุหรี่ได้จริง แต่สำหรับเมืองไทยอาจมีจำนวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เหตุเพราะโครงสร้างภาษียาสูบของเมืองไทยยังมีจุดอ่อน
"ขึ้นราคาแต่ละครั้งแค่ 20 บาทต่อซอง ถ้าคุณเงินเดือน 20,000 คงไม่กระทบกระเทือนหรอก ลองขึ้นภาษีโหดๆแบบออสเตรเลีย มาเลเซียสิ บุหรี่ราคาถูกสุดในตลาดตอนนี้ประมาณ 100 บาทต่อซองแล้ว บ้านเราโครงสร้างภาษียังมีช่องโหว่ เปิดโอกาสเปิดทางเลือกให้เขาเปลี่ยนไปสูบอย่างอื่นแทนได้"
ศาสตราจารย์ นพ. ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
รศ.ดร.สุชาดา ตั้งทางธรรม นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ปัจจุบันรายได้รัฐบาลจากกิจการยาสูบแบ่งเป็น รายได้จากโรงงานยาสูบหรือขายบุหรี่ 6,000 ล้านบาท และ รายได้จากภาษีสรรพสามิตหรือภาษีบุหรี่ 60,000 ล้านบาท
"รัฐบาลหลายประเทศที่ใส่ใจให้ความสำคัญต่อสุขภาพประชาชน เขาจะยอมสละรายได้จากโรงงานยาสูบด้วยการขายโรงงานทิ้ง แล้วเลือกเอารายได้จากภาษีบุหรี่ซึ่งมากกว่าหลายเท่า ที่สำคัญจะช่วยยับยั้งการเพิ่มขึ้นค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยอันเนื่องมkจากการสูบบุหรี่ ซึ่งแต่ละปีรัฐต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงทางอ้อมนับแสนล้าน อีกเรื่องไม่ควรมองข้ามคือ การขึ้นภาษีบุหรี่ บุหรี่มีราคาแพงขึ้น จะช่วยสกัดกั้นนักสูบหน้าใหม่ออกไปได้ โดยเฉพาะเยาวชน"
เสียงสะท้อนจากสิงห์อมควัน
ทุกครั้งที่มีการขึ้นราคาบุหรี่ เสียงก่นด่าสาปแช่งดังระงมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
ผลการสำรวจความคิดเห็นผู้สูบบุหรี่ต่อการขึ้นภาษีบุหรี่ โดยกรุงเทพโพลล์ เมื่อวันที่ 27 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ไม่เห็นด้วยถึง 75.5 % โดยเหตุผลที่ไม่เห็นด้วยคือ 81.2 % ทำให้บุหรี่มีราคาแพงเกินไป 9.8 % มองว่ารัฐแก้ปัญหาไม่ตรงจุด 9.0 % ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ขณะที่ 24.5 % ของผู้ที่เห็นด้วยกับการขึ้นภาษีบุหรี่ ให้เหตุผลว่า 48.4 %จะทำให้สูบบุหรี่ลดลง 20.8 % เชื่อว่าจะช่วยให้เลิกบุหรี่ได้ 11.8 % ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับรัฐ และ 19 % มองว่าทำลายสุขภาพ ฟุ่มเฟื่อยไร้สาระ
ถามความเห็นไปยังเจ้าของร้านโชห่วยรายหนึ่ง ย่านท่าน้ำนนท์ เขาเชื่อว่าสาเหตุการปรับขึ้นภาษีบุหรี่ครั้งนี้ เป็นเพราะรัฐบาลถังแตก ต้องการเงินไปบริหารประเทศ
"ทุกรัฐบาลเวลาเงินขาดมือก็จะหาทางขึ้นภาษีโน้นภาษีนี้ หนีไม่พ้นเหล้ากับบุหรี่ ถามว่ายอดขายตกไหมก็มีหายไปบ้างเล็กน้อยช่วงสแรกๆ อาจเป็นเพราะว่าคนอาจตกใจข่าว สับสน แต่สุดท้ายก็กลับมาสูบเหมือนเดิม คนติดยังไงมันก็ต้องสูบ พฤติกรรมการสูบบุหรี่ของลูกค้าประจำยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง คนมีเงินซื้อบุหรี่นอก แพงแค่ไหนก็ยังซื้อ ส่วนพวกคนรายได้น้อยที่นิยมสูบบุหรี่ไทย จะซื้อแบบแบ่งขายทีละ 4 มวน ราคา 20 บาท แบบนี้ซื้อง่ายขายคล่องกว่า"
เพจเฟซบุ๊ก Thai Smokers Community
บุญเหลือ สงมา พนักงานรักษาความปลอดภัย เล่าว่า เปลี่ยนพฤติกรรมจากการ'ซื้อซอง'มาเป็น'ซื้อแบ่งขาย'นานแล้ว
"สมัยก่อนซื้อเป็นซอง พอมันขึ้นพรวดๆจาก 40 บาท เป็น 80 บาทก็ไม่ไหว หันมาซื้อแบบแบ่งขายดีกว่า เสียเงินน้อย แถมช่วยให้สูบน้อยลงด้วย ผมไม่คิดจะเปลี่ยนยี่ห้อนะ ติดรสชาติ บุหรี่ราคาถูกบางยี่ห้อสูบทีเดียวแทบเขวี้ยงซองทิ้ง รสชาติแย่มาก เดี๋ยวนี้ใครมาขอฟรีๆด่าเลย มวนละ 7 บาทแล้ว ใจมึงยังจะขอกันอีกเหรอ"
จุฬา เสรีวัลลภ ลูกจ้างบริษัทน้ำมันแห่งหนึ่ง ให้ความเห็นว่า บุหรี่แพง นักสูบรากหญ้าได้รับผลกระทบแน่นอน อาจสูบในปริมาณที่น้อยลง แต่เชื่อว่าไม่มีใครเลิกอย่างแน่นอน
"บุหรี่แพง คนยังปรับตัวได้ เปลี่ยนยี่ห้อ เปลี่ยนมาซื้อแบ่งขาย ไม่มีใครเลิกหรอก บุหรี่มันเลิกง่ายๆที่ไหน เท่าที่เจอมาคนเลิกบุหรี่ได้เพราะจำใจต้องเลิกเพราะป่วย ขืนดูดอีกตายแน่ อีกกลุ่มคือลูกเมียขอร้อง เลิกเพราะบุหรี่แพงไม่น่าจะมี ต่อให้ยุบโรงงานยาสูบทิ้ง คนติดมันก็ขวนขวายหามาสูบได้อยู่ดีครับ"
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การปรับขึ้นภาษีบุหรี่ ก่อให้เกิดกระแสคัดค้านต่อต้านจากบรรดานักสูบที่ปัจจุบันมีมากถึง 11 ล้านคน แต่ขณะเดียวกันก็ได้รับเสียงชื่นชมอย่างท้วมท้นถล่มทลายจากประชาชนผู้ไม่สูบบุหรี่อีกเป็นจำนวนมาก