"อู่วิชาญ" ร้องขอทนายสู้คดีถูก "หลวงพี่แป๊ะ" ฟ้อง 10 ล้าน
"อู่วิชาญ" โอด ถูกฟ้อง 10 ล้าน ปมเบนซ์สมเด็จช่วง ร้องขอทนาย-คุ้มครองพยาน ยันไม่ได้ขายรถผิดกฎหมายให้พระ
"อู่วิชาญ" โอด ถูกฟ้อง 10 ล้าน ปมเบนซ์สมเด็จช่วง ร้องขอทนาย-คุ้มครองพยาน ยันไม่ได้ขายรถผิดกฎหมายให้พระ
เมื่อวันที่ 8 มี.ค. เวลา 10.00 น. ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นายวิชาญ รัษฐปานะ เจ้าของอู่รถวิชาญ ที่รับทำรถโบราณ ยี่ห้อเมอซิเดสเบนซ์ ขม99 ของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เดินทางเข้าร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือจากกรมคุ้มครองสิทธิฯ เพื่อขอทนายความในการต่อสู้คดี พร้อมทั้งขอค่าทำเนียมศาล และคุ้มครองในฐานะพยาน หลังถูกพระมหาศาสนมุนี (พระธนกิจ สุภาโว) หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ฟ้องร้องดำเนินคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 10 ล้านบาท
นายวิชาญ กล่าวว่า ในวันนี้ตนต้องการมาขอทนายความ ค่าธรรมเนียมศาล และขอให้กรมคุ้มครองสิทธิฯคุ้มครองตนในฐานะพยานในคดีรถสมเด็จช่วง แต่ก็ไม่ทราบว่าจะขอให้คุ้มครองพยานได้หรือไม่ เนื่องจากคดีดังกล่าวยังไม่มีการฟ้องร้องอะไร และยังอยู่ในชั้นการสอบสวน แต่ตนต้องการขอให้คุ้มครองเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือไม่ อีกทั้ง ไม่ทราบด้วยว่าการที่ตนถูกฟ้องร้องดังกล่าว จะเป็นการข่มขู่หรือไม่ ซึ่งถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย เป็นจำนวนเงิน 10,050,000 บาท แบ่งเป็นค่ารถ 4 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยรวมแล้ว 5 ล้านกว่าบาท รวมถึงค่าเสียชื่อเสียงอีก 5 ล้านบาท ทั้งนี้เพิ่งได้รับหมายศาลในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ส 359/2559 ฟ้องโดยพระมหาศาสนมุนี (ธนกิจ ศรีอุ่นเรือน) โดยนายสุรพงษ์ สิทธิกรณ์ ทนายความเป็นผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายวิชาญ ซึ่งศาลได้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 25 เม.ย.นี้ เวลา 13.30 น.
"หลังจากถูกฟ้องร้องดำเนินคดีและมีหมายศาลมาที่บ้าน ทำให้ผมและครอบครัวเกิดความเครียด ภรรยาก็ร้องไห้ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยถูกฟ้องร้องอะไรแบบนี้เลย อีกทั้งไม่รู้เกี่ยวกับระบบทนายความ แต่เชื่อว่าถ้าเราอยู่บนความจริง ความจริงก็คือความจริง วันหนึ่งเขามาพึ่งพาให้ช่วยซ่อมรถให้ อีกวันมาบอกว่าเป็นโจรเอารถไปขายให้พระ วันหนึ่งเขาให้ผมช่วยเป็นธุระจัดการนำเงินผ่านมา เพื่อจะได้ไปจ่ายแทนให้ เพราะเขาจะได้จ่ายเงินมาด้านเดียว แต่วันหนึ่งมากล่าวหาว่าเป็นคนรับเงินทั้งหมดและเอารถไปให้เขา"นายวิชาญ กล่าว
นายวิชาญ กล่าวต่อว่า ยืนยัน ไม่ใช่เจ้าของรถแม้แต่วินาทีเดียว ไม่ใช่เจ้าของเครื่องยนต์ คัชซี หรือบอดี้ที่เอาเข้ามา รวมถึงไม่ใช่เจ้าของอะไหล่ที่เขามาจ้างให้ตนทำเป็นตัวรถ อีกทั้ง ตนไม่ได้เป็นคนดำเนินการในเรื่องการจดประกอบ และไม่เคยรู้เรื่องการจดประกอบ ไม่รู้เรื่องทะเบียน 99 และไม่รู้ด้วยว่าใครเคยเป็นเจ้าของชื่อรถคนแรก จึงไม่ได้เป็นผู้ขายรถคันดังกล่าวให้กับหลวงพี่แป๊ะ แต่เป็นช่างที่ได้รับการว่าจ้างให้ซ่อมรถดังกล่าว โดยหลวงพี่แป๊ะเป็นผู้ว่าจ้าง
เจ้าของอู่วิชาญ กล่าวว่า โดยมีการแบ่งค่าจ้างในจำนวน 4 ล้านบาท เป็น 2.5 ล้านบาท ให้บริษัทอ๊อด 89 ซึ่งเป็นผู้จัดหาอะไหล่รถมาและเป็นผู้ดำเนินการเรื่องจดประกอบ ส่วนตนรับงานซ่อมโดยมีค่าจ้าง 1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานปรับแต่งภายใน ภายนอกรถ ไม่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการจดประกอบ เงินค่าจ้าง 1.5 ล้านบาท ก็มีการว่าจ้างช่างในส่วนอื่น ซ่อมรถและทยอยจ่ายช่างแต่ละคนไป ซึ่งเมื่อทำรถเสร็จและพ้นจากอู่ของตนไป จึงนำไปสู่ขั้นตอนการจดประกอบ ซึ่งตนไม่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ไม่ยืนยันว่าหลวงพี่แป๊ะรู้จักกับบริษัทอ๊อด 89 หรือไม่ แต่ระหว่างการซ่อมรถดังกล่าว ก็มีการพบกันหลายครั้ง
นายวิชาญ กล่าวอีกว่า ไม่เข้าใจ ทำไมหลวงพี่แป๊ะจึงไม่ฟ้องผู้ที่เป็นคนจัดหาอะไหล่ หรือทำการจดประกอบรถให้ แต่กลับมาฟ้องตนซึ่งเป็นเพียงผู้รับจ้างแค่ซ่อมรถให้ใช้งานได้ ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทางหลวงพี่แป๊ะไม่ได้ติดต่อพูดคุยอีกเลย ทั้งที่ในช่วงที่มีการทำรถก็มีการติดต่อกันอย่างต่อเนื่องและมีการทยอยจ่ายเงินค่าจ้างเป็นงวด


