อนาคตเปรียบเทียบ:สิงคโปร์ ไทย และญี่ปุ่น
สิงคโปร์ ไทย และญี่ปุ่น จะมีอนาคตอย่างไร?
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
สิงคโปร์ ไทย และญี่ปุ่น จะมีอนาคตอย่างไร?
ผู้เขียนเพิ่งกลับจากการนำนักศึกษาปริญญาโทของสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ไปดูงานเรื่องการจัดการเมืองและสังคมวัฒนธรรมที่นั่น ส่วนปีก่อนโน้นก็นำนักศึกษาหลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตยของสถาบันพระปกเกล้าไปดูงานเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบรัฐสภาที่ประเทศญี่ปุ่น คืนก่อนก็เลยฝันถึง “ความเป็นไป” ของทั้งสองประเทศนี้มาขึ้นมา จึงคิดที่จะนำมาเปรียบเทียบกับของประเทศไทย
ขอเริ่มต้นที่ญี่ปุ่นที่ไปมาเมื่อปีกลายนี้ก่อน
ผู้เขียนไปญี่ปุ่นมาแล้ว 4 ครั้ง ในระยะ 6-7 ปีมานี้ ทั้งไปเที่ยวกับครอบครัวและศึกษาดูงานกับนักศึกษา โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบญี่ปุ่นมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเติบโตมาในยุคภาพยนตร์และสินค้าญี่ปุ่น “ครองเมือง” จนเกิดภาพฝังใจว่าญี่ปุ่นเป็น “ดินแดนวิเศษ” แต่ในการไปดูงานครั้งแรกที่ญี่ปุ่นในปี 2552 กลับไปชื่นชอบสินค้าทางการเกษตรของญี่ปุ่น โดยเฉพาะวิถีชีวิตของเกษตรกรและวิธีการผลิตผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรเหล่านั้น
อย่างที่ทราบกัน ญี่ปุ่นมีพื้นที่เพาะปลูกที่จำกัด พื้นที่กว่าครึ่งประเทศเป็นภูเขา ที่ราบที่เหลือก็ต้องแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยให้มนุษย์เกือบ 130 ล้านคน (มีขนาดเพียง 0.7 เท่าของประเทศไทย แต่มีคนมากกว่า 2 เท่า) เปรียบง่ายๆ ว่า ถ้าประเทศญี่ปุ่นเป็นฝ่ามือ พื้นที่เพาะปลูกก็มีขนาดเท่ากับหัวแม่มือเท่านั้น แต่คนญี่ปุ่นก็ใช้พื้นที่ปลูกและผลิตสินค้าการเกษตรได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญคือ “ปลูกและทำแต่ของดี” คือมูลค่าสูง สินค้าพื้นๆ ก็นำเข้าเท่าที่จำเป็นไม่ให้อดอยากขาดแคลน
ครั้งที่ 2 ในปีต่อมาก็ไปดูงานอีกครั้ง ส่วนครั้งที่ 3 เมื่อ 2 ปีก่อนก็ไปดูดอกซากุระกับครอบครัว ซึ่งทั้งสองครั้งได้เรียนรู้ “ชีวิตจิตใจแบบญี่ปุ่น” อย่างที่เราทราบกันดีว่า คนญี่ปุ่นทำงานอย่างอดทน ขยันขันแข็ง แข่งขัน มีระเบียบวินัยและทุ่มเท แต่ที่ผู้เขียนสังเกตเห็นและเชื่อว่าน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในวิธีคิดและการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่นก็คือ คนญี่ปุ่นอยากเป็นคนดี อย่างหนึ่งคือดีต่อคนต่างชาติที่ไปเที่ยว และอีกอย่างหนึ่งก็คือให้เป็นคนดีในสังคมญี่ปุ่นนั้นด้วย
ในครั้งหลังสุดเมื่อปีที่แล้ว นอกจากการดูงานตามที่ต่างๆ แล้ว ผู้เขียนก็พยายามที่จะ “เข้าไปนั่งในหัวใจ” ของคนญี่ปุ่น โดยสังเกตว่าคนญี่ปุ่นต้องการอะไร และอยากมีอนาคตอย่างไร ซึ่งจากการพูดคุยกับนักศึกษาที่นั่น แม้จะมีจำนวนไม่มากแต่ก็มีแนวโน้มของความวาดหวังไปในทิศทางเดียวกันว่า เยาวชนคนหนุ่มสาวของญี่ปุ่นอยากเปิดตัวออกสู่โลกภายนอกมากขึ้น ต่างจากคนญี่ปุ่นรุ่นเก่าๆ ที่ยึดติดพื้นที่ ซึ่งสิ่งนี้อาจจะชี้อนาคตคนญี่ปุ่นได้ว่า ญี่ปุ่นจะไม่เพียงแต่ผลิตสินค้าออกไปป้อนชาวโลก (ซึ่งกำลังสู้ชาติใหม่ๆ เช่น เกาหลี และจีน ได้ยากขึ้นทุกวัน) แต่กำลังจะส่งคนออกไป “ร่วมผลิต ร่วมอยู่ ร่วมกิน” กับคนชาติอื่นๆ ทั่วโลก
สำหรับประเทศสิงคโปร์ ผู้เขียนเคยไปเพียงมา 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี 2520 ที่ไปเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยและแข่งฟุตบอลกระชับมิตรตั้งแต่ครั้งที่ยังเป็นนิสิตในคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ โดยไปพักอาศัยในวัดไทยที่นั่นอยู่ 3 วัน (รวมที่มาเลเซียอีก 4 เมืองก็เป็น 10 วัน) ตอนนั้น
สิงคโปร์ยังเต็มไปด้วยชุมชนแออัด ซุกอยู่หลังตึกสูงๆ และสวนสวยๆ เพราะเพิ่งสร้างเมืองใหม่ขึ้นมาได้สิบกว่าปี หลังจากที่ได้แยกตัวออกมาจากประเทศมาเลเซียในปี 2508) จะมีที่ตื่นตาตื่นใจหน่อยก็คือถนนออชาร์ด (ถนนที่มีสถานทูตไทยตั้งอยู่นั่นแหละ) ที่เป็นแหล่งช็อปปิ้งเพียงแห่งเดียวในยุคนั้น ถ้าจำไม่ผิดเจ้าเมอร์ไลออนหรือสิงโตทะเลพ่นน้ำ ยังไม่เกิดหรือยังไม่ดังด้วยซ้ำ
ในครั้งนั้นผู้เขียนซึ่งทำงานเป็นผู้ช่วยเลขานุการอยู่ที่บ้านสวนพลู ได้ไปขอบทโขนฉลองพระราชอิสริยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แปลเป็นภาษาอังกฤษพร้อมคำอธิบายเรื่องการแสดงโขน มาพิมพ์ลงในสูจิบัตรเอาไปแจกมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่พวกเราเดินทางไปเพื่อ “มิตรภาพ” ในครั้งนั้น เมื่อทราบว่าพวกเราจะไปสิงคโปร์ด้วย ท่านก็เลยเล่าให้ฟังถึงเรื่อง “คนสิงคโปร์” ที่ท่านรู้จัก โดยเฉพาะนายลีกวนยู รัฐบุรุษของคนที่นั่น
ท่านบอกว่าคนสิงคโปร์นั้นเป็นคน “หยิ่ง” อย่างยิ่ง อาจจะเป็นด้วยการพยายามสร้างตัวตนให้โดดเด่นหลังการแยกตัวออกมาจากมาเลเซีย รวมถึงการเป็นพื้นที่ที่มีอาณาเขตขนาดเล็ก และความเป็นคนจีนที่ยังเผลอคิดว่าตัวเองยังอยู่ในแผ่นดินใหญ่ ท่านได้เล่าถึงนายลีกวนยูครั้งที่ไปร่วมประชุมผู้นำอาเซียนที่บาหลีในปี 2518 ว่ามีนิสัยอย่างหนึ่งที่จะว่าดีหรือไม่ดีก็ได้ ถ้ามองว่าดีก็เรียกว่ามีจิตอาสาเสนอตัวเป็นผู้นำในการพรีเซนต์เรื่องต่างๆ แต่ถ้าจะมองไม่ดีแกก็ชอบ “แย่งซีน” หรือฉกฉวยโอกาสเอาหน้าเอาตาอยู่ตลอด และคนสิงคโปร์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนแบบนี้
ตอนไปครั้งแรกผู้เขียนก็ไม่ได้สังเกตอะไร จนเมื่อได้มาสิงคโปร์อีกครั้งเมื่อปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา จึงนึกถึงคำที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์พูดไว้ แล้วก็ย้อนไปถึงอดีตในครั้งนั้นอีกครั้ง ก็ยังเห็นความหยิ่งทะนงของคนสิงคโปร์ว่ายังคงมีอยู่เหมือนเดิม ผู้เขียนจะไม่พูดถึง “การสร้างสรรค์” ที่เมืองสิงคโปร์ทำได้ดีมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายคงไปได้เห็นอย่างที่รัฐบาลสิงคโปร์ “จงใจ” นำเสนอ แต่อยากจะพูดถึงความอหังการบางอย่างที่อาจจะทำลายชาติสิงคโปร์ได้ นั่นก็คือการที่นึกว่าตนเองวิเศษเหลือเกิน และคิดแต่จะเอาชนะคนชาติอื่นอยู่ร่ำไป
ในการไปดูงานครั้งล่าสุด ผู้เขียนและคณะนักศึกษาได้ไปเยี่ยมชมและฟังคำบรรยายที่การประปาสิงคโปร์ นอกจากความวิเศษวิโสของวิธีการทำประปาของสิงคโปร์ที่ไม่เหมือนที่ใดในโลกเพราะเอาน้ำเสียมารีไซเคิลให้กลับดื่มได้แล้ว ยังพูดถึงอนาคตของน้ำกินน้ำใช้ในสิงคโปร์ที่ปัจจุบันผลิตได้เองแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ซื้อมาจากมาเลเซียอีก 60 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือกลั่นจากน้ำทะเล รัฐบาลสิงคโปร์ยังกล้าประกาศว่าในปี 2603 (ค.ศ. 2060) สิงคโปร์จะไม่พึ่งน้ำจากมาเลเซียอีกแล้ว (ถ้าฟังไม่ผิดสัญญาซื้อขายจะหมดลงในปีนั้น) แต่จะผลิตใช้เองทั้งหมด
ด้วยเนื้อที่บทความอันจำกัด ผู้เขียนขอให้ท่านผู้อ่านมองทัศนะของคนสองประเทศระหว่างญี่ปุ่นกับสิงคโปร์ว่า ใครจะอยู่รอดได้ดีกว่ากันในอนาคต ระหว่างประเทศที่คิดพึ่งโลกและยอมรับความจริงว่าอยู่ได้ด้วยเพื่อนร่วมโลก เช่น ญี่ปุ่นกับประเทศที่เหมือนอึ่งอ่างที่เอาแต่พองตัวอวดลูกหลานคิดแต่จะเอาชนะถ่ายเดียวอย่างสิงคโปร์ ส่วนประเทศไทยที่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงอะไรมาก เพราะเราเป็นคนไทยก็คงจะพอรู้ว่าคนไทยคิดอะไรและต้องการอะไร จึงขอให้คิดเอาเอง
หรือจะให้ คสช.คิดให้ว่าอีก 20 ปีประเทศไทยจะเป็นอย่างไร?


