posttoday

อาณาจักร-ศาสนจักร

29 กุมภาพันธ์ 2559

บ้านเมืองใดไม่มีศาสนา บ้านเมืองนั้นจะหาความสงบเรียบร้อยไม่ได้ ศาสนาจึงมีความสำคัญกับความสงบสุขของบ้านเมือง ศาสนาจึงเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบ้านเมือง โดยเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะส่งเสริมให้บ้านเมืองดำรงอยู่ได้ แต่ศาสนาไม่ได้สำคัญไปกว่าบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนา พระพุทธองค์ให้ความสำคัญกับบ้านเมือง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายกับกิจการบ้านเมือง

บ้านเมืองใดไม่มีศาสนา บ้านเมืองนั้นจะหาความสงบเรียบร้อยไม่ได้ ศาสนาจึงมีความสำคัญกับความสงบสุขของบ้านเมือง ศาสนาจึงเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบ้านเมือง โดยเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะส่งเสริมให้บ้านเมืองดำรงอยู่ได้ แต่ศาสนาไม่ได้สำคัญไปกว่าบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนา พระพุทธองค์ให้ความสำคัญกับบ้านเมือง ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายกับกิจการบ้านเมือง

ประเทศตะวันตก ศาสนจักรมีอิทธิพลมาก จนบางยุคสมัยมีอำนาจเหนือฝ่ายอาณาจักร เพราะเมื่อประชาชนเชื่อถือยึดมั่นในศาสนา ผู้ปกครองก็ไม่กล้าที่จะขัดกับศาสนจักร

ประเทศจีนในยุคที่ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์สุดโต่ง ไม่ให้ประชาชนนับถือศาสนาหรือลัทธิคำสั่งสอนใด ศาสนสถานเป็นของต้องห้าม ประชาชนไม่มีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ เมื่อเกิดลัทธิฝ่าหลุนกง เป็นที่พึ่งทางจิตใจให้ผู้คน จึงมีผู้หลงใหลเป็นจำนวนมากและขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นภัยต่อความมั่นคงของอาณาจักร จนต้องใช้กำลังปราบปราม จึงเป็นตัวอย่างที่นำมาเป็นศึกษาได้ว่า หากประชาชนไม่มีที่พึ่งอันถูกต้องทางจิตใจแล้ว คนย่อมพร้อมที่จะเชื่อแนวทางของศาสนาหรือลัทธิใดๆ ที่ทำให้เกิดความสบายใจ

ศาสนามีความสำคัญกับบ้านเมืองในเรื่องคำสอนให้ประชาชนรู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบกัน ไม่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน

หน้าที่ของนักบวชในพุทธศาสนา คือการสั่งสอนชาวบ้านให้รู้จักผิดชอบชั่วดี ชาวบ้านมีหน้าที่ดูแลบำรุงรักษานักบวชให้อยู่ปฏิบัติศาสนกิจได้โดยไม่ต้องทำมาหากิน เป็นการช่วยเหลือเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ โดยไม่เข้าไปก้าวก่ายกิจการของแต่ละฝ่าย แต่ก็มิได้หมายความว่า ศาสนจักรจะเป็นอิสระโดยเด็ดขาด เพราะนักบวชก็มาจากประชาชน มาจากฝ่ายอาณาจักร

ข้อเรียกร้อง 5 ข้อของพระกลุ่มหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันที่พุทธมณฑล ก่อนวันมาฆบูชา จนเป็นเหตุกระทบกระทั่งกับฝ่ายอาณาจักร เป็นข้อเรียกร้องของคนพาลที่เป็นไปไม่ได้ ขัดต่อหลักการปกครองประเทศ ข้อเรียกร้องทั้ง 5 ข้อ คือ

1.ห้ามหน่วยงานภาครัฐเข้ามาก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ ขอให้ทำหน้าที่อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา ตามแบบอย่างบรรพบุรุษไทย 2.ขอให้รัฐบาลยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติอันดีงามที่กระทำสืบกันมา คือการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ ทางรัฐบาลจะต้องปรึกษาและได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม (มส.) ก่อน 3.ขอให้นายกฯ ยึดถือดำเนินการตาม
มติ มส. ที่มีการเสนอสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เป็นสมเด็จพระสังฆราช 4.ขอให้ทางรัฐบาลสั่งเป็นนโยบายให้หน่วยราชการปฏิบัติต่อคณะสงฆ์ด้วยความเคารพ เอื้อเฟื้อ ไม่ข่มขู่คุกคามคณะสงฆ์ด้วยการใช้กฎหมาย และ 5.ขอให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ

ข้อเรียกร้องทั้ง 5 ข้อ หากรัฐยอมรับย่อมเท่ากับ มส.เป็นอิสระไม่อยู่ใต้กฎหมายบ้านเมือง จะทำอะไรก็ได้ แม้จะไม่ใช่เรื่องตามธรรมวินัย เช่น การแต่งตั้งพระสังฆราช ซึ่งเป็นเรื่องทางโลกอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อ 4 ที่เรียกร้องเพื่อให้ผู้คนเคารพตนเองโดยใช้กฎหมายหรือคำสั่ง เป็นสิ่งที่ขัดต่อความเป็นจริง กฎหมายหรือคำสั่งใดๆ ไม่อาจบังคับให้เกิดความเคารพศรัทธา การที่ผู้คนจะให้ความเคารพพระภิกษุสงฆ์องค์ใด ย่อมขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนของพระภิกษุสงฆ์รูปนั้นๆ ถ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แม้มีคำสั่งห้าม ผู้คนก็ยังเคารพ แต่หากเป็นพระอลัชชี จะออกกฎหมายหรือคำสั่งใดๆ ก็ไม่อาจบังคับให้ผู้คนเคารพศรัทธาไม่ได้

พระภิกษุในศาสนามาจากประชาชน มาจากชาวบ้าน ไม่มีใครที่เป็นพระมาแต่กำเนิด พระจึงเป็นหน่วยหนึ่งของบ้านเมือง ศาสนจักรจึงเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย พระภิกษุนอกจากต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัยแล้ว ยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายเหมือนชาวบ้านทั่วๆ ไป การห้ามก้าวก่ายเรื่องทางสงฆ์ มีเพียงประการเดียวคือ รัฐจะเข้าไปก้าวก่ายการปฏิบัติกิจของสงฆ์ไม่ได้

กิจของสงฆ์ไม่ได้หมายความว่า คณะสงฆ์หรือ มส.จะตั้งกฎเกณฑ์ใดๆ ขึ้นมาเองได้ตามอำเภอใจ กิจของสงฆ์คือพระธรรมวินัย สิ่งใดที่เป็นเรื่องนอกพระธรรมวินัย ย่อมไม่ใช่กิจของสงฆ์

พระสังฆราชไม่มีอยู่ในธรรมวินัย การแต่งตั้งพระสังฆราชจึงไม่ใช่กิจของสงฆ์

ประเทศไทยเราเป็นเมืองพุทธ ประชาชนและพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ล้วนแต่เป็นชาวพุทธทั้งสิ้น โดยพื้นฐานแล้ว ประชาชนคนไทยรวมถึงผู้ปกครองทุกยุคทุกสมัย จึงให้ความเคารพพระสงฆ์เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว เพียงแค่พระสงฆ์ไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทาง แม้จะไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ประชาชนก็ให้ความเคารพนับถืออยู่แล้ว พระสงฆ์ที่ดีท่านไม่ต้องมาเรียกร้องให้ผู้คนเคารพนับถือท่าน มีแต่จะหลีกหนีผู้คน หลบซ่อนในป่าเขา เพราะไม่อยากรับแขก ไม่อยากมีอยากได้ทรัพย์สิ่งของ

หากจะเรียกร้องศาสนจักร ควรจะเรียกร้องให้อาณาจักรคุ้มครองดูแลศาสนจักร 3 ประการ คือ   

1.ขอให้ป้องกันไม่ให้คนของฝ่ายอาณาจักรปลอมปนเข้าไปรบกวนการปฏิบัติศาสนกิจ หรือเข้าไปเพื่อแสวงหาประโยชน์หรือเพื่อทำลายพระพุทธศาสนา  

2.ช่วยกำจัดผู้แปลกปลอมหรือพระที่ปฏิบัตินอกลู่นอกทาง หรือพระที่ต้องอาบัติปาราชิกหมดจากความเป็นพระแล้ว ให้ออกไปจากพระศาสนา เพราะพระท่านไม่สามารถทำให้คนหน้าด้านหยุดการทำชั่ว การหลอกลวง หรือแม้แต่จะถอดผ้าเหลืองออกจากพระอลัชชีได้ มีเพียงกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้นที่จะมีอำนาจจัดการได้

3.ฝ่ายอาณาจักรต้องคุ้มครองส่งเสริมให้พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงตามพระธรรมวินัย ให้สามารถปฏิบัติศาสนกิจได้โดยปกติสุข

พระที่ออกมาเรียกร้องควรจะมีความละอายใจบ้าง เจ้าชายสิทธัตถะ ท่านสละทรัพย์สิน สละลาภยศตำแหน่งพระมหากษัตริย์ สละความสุขทั้งปวงออกบวช ทรัพย์สมบัติที่ท่านมีนั้น มากกว่าเจดีย์ มากกว่ารูปหล่อทองคำ มากกว่ารถยนต์หรูๆ เป็นโหลๆ แต่ท่านสละทุกอย่าง ไม่เอาอะไรเลย แม้พระราหุลโอรสของท่าน ท่านก็ไม่ให้ไปรับราชสมบัติ 

แต่พระสมัยนี้ โดยเฉพาะพระสมณศักดิ์สูงๆ (บางรูป) กลับแสวงหาทรัพย์สิน แสวงหาลาภยศ ตำแหน่งสมณศักดิ์สูงๆ ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งสมมติ เป็นสิ่งที่นักบวชจะต้องละ ไม่ใช่แสวงหา

ถึงเวลาที่จะต้องปฏิรูปคณะสงฆ์กันหรือยัง

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา