posttoday

"สังศิต" ให้เกรดเอ "บิ๊กตู่" สอบผ่านปราบปรามคอร์รัปชั่น

24 กุมภาพันธ์ 2559

หนึ่งในนโยบายสำคัญที่เป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาลคสช.คือ การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น

โดย...ปริญญา ชูเลขา

หนึ่งในนโยบายสำคัญที่เป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. คือ การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ คสช.อยู่ในอำนาจ 1 ปี 6 เดือน สังคมต่างจับจ้องผลงานและความก้าวหน้าในการปราบโกงว่าทำได้จริงหรือไม่

ทัศนะของ สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต นักวิชาการที่เชี่ยวชาญกลไกตรวจสอบการทุจริตให้คะแนนรัฐบาล คสช.สอบผ่านระดับ เกรดเอ หรือ 8.5 เต็ม 10 คะแนนเพราะเห็นว่าตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ ได้ทำในสิ่งที่รัฐบาลก่อนๆ จากนักการเมืองไม่กล้าทำ

เรื่องแรก คือ การตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน ประเด็นสำคัญ คือ รัฐบาล คสช.กล้าดึงภาคเอกชนที่ทำงานต้านคอร์รัปชั่นมาร่วมงานกับรัฐบาลโดยไม่กังวลจะถูกตรวจสอบ อาทิ ประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จุรี วิจิตรวาทการ เลขาธิการมูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย หรือ ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ล้วนทำงานตรวจสอบการทุจริตในวงราชการ และ คสช.ยังให้ความสำคัญเรื่องการปลูกฝังทางความคิด ผ่านโครงการ “โตไปไม่โกง” รวมถึงจัดทำหลักสูตรบรรจุไว้ในการเรียนการสอนของกระทรวงศึกษาธิการ จึงนับเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นทั้งในระยะเฉพาะหน้าที่เน้นการปราบปราม และระยะยาวที่เน้นการปลูกฝังค่านิยมให้กับเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติ

ยิ่งในระยะดับสากล คสช.ให้ความสำคัญมากเช่นกัน ด้วยการเข้าไปร่วมเป็นสมาชิกโครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนในการต่อต้านการทุจริต หรือโครงการ CAC ที่บริษัทเอกชนได้ร่วมลงนามในโครงการต่อต้านการทุจริตของ CAC ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจหรือนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้เห็นว่าประเทศไทยเอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีมูลค่าเกินกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางคณะกรรมการชุดนี้จะเข้าไปร่วมสังเกตการณ์เพื่อสนับสนุนการทำธุรกิจที่สะอาด โปร่งใส และปลอดคอร์รัปชั่น

และยังมีการออกกฎหมายสำคัญ คือ พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 มาแก้ปัญหาความอืดอาดล่าช้าในการให้บริการประชาชน ซึ่งเป็นช่องโหว่สำคัญให้เกิดการติดสินบน หรือยัดเงินใต้โต๊ะแก่เจ้าพนักงานรัฐ อีกเรื่องที่รัฐบาล คสช.ตั้งใจทำคือการสนับสนุนให้มีการแก้ไขกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างให้ทันสมัย โปร่งใส และเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายด้วยการนำระบบ e-Government มาใช้

อาทิ การจัดซื้อจัดจ้างวัสดุอุปกรณ์สำนักงานอย่าง กระดาษเอสี่ ปากกา ยางลบ ดินสอ ซึ่งวงเงินจัดซื้อต่ำแต่ค่าบริหารจัดซื้อจัดจ้างมีต้นทุนสูง จึงได้นำระบบ e-Market มาใช้ คือ เปิดให้ประมูลหรือซื้อขายบนอินเทอร์เน็ต ย่อมเกิดการแข่งขันกันสูง ดังนั้นหน่วยงานรัฐจะรับทราบราคาประมูลที่แต่ละบริษัทเสนอขายใครให้ราคาต่ำสุด ดังนั้นหน่วยงานใดยังจัดซื้อราคาแพงย่อมถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบ

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเข้ามาดูแลเรื่องดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น Corruption Perceptions Index หรือ CPI จัดอันดับโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ เพราะแต่เดิมในรัฐบาลก่อนๆ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะทำหน้าที่นี้ แต่เมื่อรัฐบาลเข้ามาร่วมดูแล โดยส่ง วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย เข้ามาช่วย ป.ป.ช.ผลักดันภาพลักษณ์ประเทศไทยให้มีอันดับความโปร่งใสดีขึ้น ย่อมส่งผลดีต่อนักลงทุนต่างชาติที่กล้าเข้ามาลงทุนค้าขายกับประเทศไทยสูงขึ้นด้วย

“ในเร็วๆ นี้ รัฐบาลกำลังจะออกกฎหมายการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงกำลังศึกษาในรายละเอียด มั่นใจว่าจะสามารถแก้ปัญหาทุจริตได้ที่ต้นตอเลยทีเดียว”

สังศิต กล่าวว่า นอกจาก คสช.กล้าทำในสิ่งที่รัฐบาลก่อนๆ ไม่กล้าทำแล้ว คสช.ยังกล้าทุบโต๊ะในสิ่งที่แม้แต่ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ คนปัจจุบัน ไม่กล้าเสนอ แต่รัฐบาล คสช.ผลักดันได้ สำคัญคือ การตั้งศาลทุจริต ด้วยการผ่านร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

วันที่ 1 ต.ค.นี้ จะมีแผนกและผู้พิพากษาพิจารณาคดีทุจริตที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ ดังนั้นการดำเนินการกับคนทุจริตจะรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมกับมีการปรับปรุงกฎหมาย ป.ป.ช.ให้มีความเป็นมาตรฐานสากลโลกตามที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กำหนดนั้นคือ คดีทุจริต เดิม ป.ป.ช.มีอำนาจตรวจสอบเฉพาะข้าราชการเท่านั้น แต่ของใหม่ ป.ป.ช.สามารถดำเนินการเอาผิดกับภาคเอกชนที่เป็นฝ่ายรู้เห็นและร่วมกระทำผิดต้องขึ้นศาลทุจริตนี้ด้วย

“งานหรือเรื่องใดที่เกี่ยวกับการทุจริต รัฐบาล คสช.ของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้ามาร่วมตลอด แม้แต่วันคอร์รัปชั่นสากล ท่านนายกรัฐมนตรีก็มาเป็นประธานและขอเป็นเจ้าภาพเองด้วย นี่คือการแสดงออกถึงความจริงใจในการทำงานปราบโกงของรัฐบาลนี้”

สิ่งสำคัญในการปราบโกงของรัฐบาล คือ การบูรณาการองค์กรปราบโกงมาร่วมกันทำงานแบบบูรณาการ ตั้งแต่ ป.ป.ช. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) สตง. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นต้น จากเดิมคดีร้องเรียนการทุจริตในภาครัฐกระจัดกระจายไปตามหน่วยงานต่างๆ กลับมาบูรณาการร่วมกันทำงานอย่างมีเอกภาพ มิใช่ต่างคนต่างทำอีกต่อไป ที่สำคัญมีการยกระดับอำนาจและสถานะองค์กรปราบทุจริตในภาครัฐให้ปลอดจากการแทรกแซงทางการเมืองอีกด้วย โดยเฉพาะ ป.ป.ท. เพราะในรัฐบาลก่อนๆ เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็จะปลดหรือเปลี่ยนเลขาธิการ ป.ป.ท.ตามรัฐบาลใหม่ ดังนั้นจากนี้ไปได้มีการแก้กฎหมายโครงสร้างและที่มาของเลขาธิการ ป.ป.ท.ให้มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง โดยให้มีบอร์ด ป.ป.ท.ขึ้นมาชุดหนึ่งพิจารณาคัดเลือกเลขาธิการ ป.ป.ท.

“ในอดีตเลขาธิการ ป.ป.ท.ไม่เคยได้ทำงานเลย เพราะถูกรัฐมนตรีสั่งปลดบ้าง สั่งย้ายบ้าง ถ้าไปเสนอเรื่องร้องเรียนการทุจริตในภาครัฐ หรือมีคนในรัฐบาลนั้นๆ ไปมีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อนำเรื่องเสนอเข้าไปก็จะถูกคนในรัฐบาลแทรกแซง ดังนั้นโครงสร้างใหม่ของ ป.ป.ท.จะเหมือนกับ ปปง. แม้โดยโครงสร้างจะขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี แต่จะมีบอร์ดขึ้นมาชุดหนึ่งมาทำงานสรรหาและแต่งตั้งเลขาธิการ ป.ป.ท. ดังนั้นเมื่อรัฐบาลทหารไม่อยู่แล้วก็ยังทำงานอยู่ได้อย่างอิสระแม้จะมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง นี่คือสิ่งที่รัฐบาล คสช.ได้คิดและวางไว้”

สังศิต กล่าวว่า เรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ที่จะสามารถแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นได้ คือ การเปิดเผยข้อมูล ซึ่ง คสช.ให้ความสำคัญเรื่องนี้มากๆ ด้วยการจัดทำระบบ e-Government ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่ประชาชนหรือองค์กรภาคประชาสังคม สามารถติดตามตรวจสอบความก้าวหน้าไม่ว่าจะเป็นโครงการใด เม็ดเงินลงไปในจังหวัดหรือพื้นที่ใด เพราะประชาชนมีสิทธิรับรู้รับทราบว่าเงินภาษีของตัวเองได้นำไปพัฒนาประเทศอย่างไรบ้าง

ข่าวล่าสุด

สถาบันการเงินรัฐผนึกกำลัง 6 แบงก์ เปิด 3 โครงการช่วยผู้ประสบภัยใต้