วิกฤตในกรีซ... บทเรียนที่ไม่ควรมองข้าม!
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ได้เกิดเหตุการณ์อันน่าพรั่นพรึงเป็นข่าวดังไปทั่วโลก นั่นคือเกิดการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดในประเทศกรีซ
โดย...ไพรัช วรปาณิ กรรมการอัยการ
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ได้เกิดเหตุการณ์อันน่าพรั่นพรึงเป็นข่าวดังไปทั่วโลก นั่นคือเกิดการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดในประเทศกรีซ มีการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างผู้ประท้วงที่สวมหน้ากากมีกำลังอาวุธกับตำรวจ วุ่นวายทั่วประเทศ ผู้คนแทบทุกอาชีพจำนวนมากพากันออกเดินขบวนคัดค้านนโยบายการตัดลดเงินสวัสดิการ เบี้ยเลี้ยงชีพ เงินบำเหน็จบำนาญ ซึ่งมาตรการบีบคั้นของเจ้าหนี้ต่างชาติอันมี อียู ไอเอ็มเอฟ และอีซีบี
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว ก็เคยมีการเดินขบวนประท้วงต่อต้านกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจและมาตรการรัดเข็มขัดของเจ้าหนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ในครั้งนั้นก็เกิดความบอบช้ำเสียหายให้แก่ประเทศมาแล้ว แต่ยังไม่รุนแรงเท่าครั้งล่าสุดนี้ ซึ่งนับเป็นการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์
หลังจาก อเล็กซิส ไซปราส ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกรีซไม่นาน ได้ดำเนินนโยบาย “รัดเข็มขัด” อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกับการจับจ่ายงบประมาณ ต้องตกอยู่ภายใต้อาณัติตามที่เจ้าหนี้กำหนด จำต้องแก้ไขกฎระเบียบการจ่ายเงินสวัสดิการทุกชนิด ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญ ตลอดจนเบี้ยเลี้ยงชีพคนชราและสวัสดิการต่างๆ ลง ประมาณ 15% และอัตราขั้นต่ำจะได้รับเพียง 360 ยูโรเท่านั้น มาตรการดังกล่าวทำให้ประชาชนไม่พอใจ จึงพากันออกมาเดินขบวนประท้วงอย่างรุนแรงจนเกิดปะทะกันบาดเจ็บล้มตายวุ่นวายไปทั่วกรุงเอเธนส์และปริมณฑล
การเดินขบวนครั้งใหญนี้เป็นครั้งที่สามในรอบไม่กี่เดือน และมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจการเมืองประเทศกรีซ เช่น การบิน รถไฟ เรือเมล์ ฯลฯ ต้องหยุดบริการทั้งหมด ทำให้เศรษฐกิจซึ่งย่ำแย่อยู่แล้วย่อยยับลงไปอีกอย่างสุดคณานับ
ปรากฏการณ์ประท้วงใหญ่ในครั้งนี้ จึงเป็นโจทย์หนักของนายกรัฐมนตรีไซปราส ในการหาทางแก้ไข ซึ่งจากการประเมินผลของตำรวจรายงานว่ามีประชาชนหลายแสนคนเข้าร่วมประท้วงอย่างเหนียวแน่น เฉพาะในที่รอบๆ กลางกรุงเอเธนส์ มีถึงประมาณ 4-5 หมื่นคน โดยฝ่ายประท้วงได้สวมหน้ากากใช้สิ่งของจุดไฟขว้างใส่ตำรวจอย่างไม่เกรงกลัว ระหว่างปะทะแม้ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสกัดก็ไม่อาจยับยั้งการบุกของผู้คนได้
ตามโรงพยาบาลต้องระดมเรียกร้องขอเภสัชภัณฑ์เป็นการด่วน ในเมืองปริมณฑลก็มีทั้งนักกฎหมาย วิศวกร เภสัชกร รวมกระทั่งคนทำความสะอาดก็เข้าร่วมขบวนการประท้วงด้วย ทำให้การคมนาคมหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง เนื่องจากไม่มีพนักงานคนใดไปทำงาน
พิจารณาสาเหตุใหญ่ที่เกิดการประท้วงครั้งนี้ เนื่องมาจากผลพวงการที่ไซปราส ผู้นำฝ่ายซ้าย ประกาศใช้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ เปลี่ยนแปลงระบบการจ่ายเบี้ยเลี้ยงชีพของคนชราและบำเหน็จบำนาญ อันเป็นผลกระทบต่อปากท้องโดยตรง ปากท้องของประชนถ้าหิวเมื่อใดเป็นสิ่งที่น่าห่วงจริงๆ
ผู้เขียนได้ศึกษาค้นหาสาเหตุแห่งความวุ่นวายของประเทศในเชิงวิชาการ จึงได้พบเห็นความสำคัญของการบริหารเงินที่ผิดพลาด นั่นคือต้นเหตุแห่งการล่มสลายของกรีซ ที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนการเงินการคลังเกิดปัญหาตามที่เป็นข่าวมาก่อนหน้านี้
มาบัดเดี๋ยวนี้ แม้ไซปราสจะออกมาประกาศเตือนว่า หากไม่ดำเนินการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ การเงินการคลังตามที่เจ้าหนี้ต่างชาติแนะนำโดยเร็วไวแล้ว ในอีกไม่ช้าประเทศชาติจะไม่มีแม้กระทั่งความสามารถในการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญหรือสวัสดิการทุกชนิด
แต่ทว่าฝ่ายสหภาพแรงงานได้โต้แย้งว่า แผนการปฏิรูปของรัฐบาลในขณะนี้ แม้จะอ้างว่าทำตามมาตรการกดดัน และเป็นคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธของเจ้าหนี้ต่างๆ ก็ตาม แต่สุดท้าย ของสุดท้าย แผนรัฐบาลดังกล่าวก็จะกลายเป็นเหตุรุนแรง นำพาประชาชนทั้งประเทศกรีซเข้าสู่ความหายนะหรือนรกแห่งความยากจนในที่สุด
น่าจับตา เมื่อเกิดการประท้วงใหญ่ดังนี้แล้ว แผนการปฏิรูปจะสามารถผ่านการพิจารณาลงมติของสภาหรือไม่? ยังไม่อาจคาดเดา แต่ถ้าดูจากจำนวนเสียงสมาชิกของนายกฯ ไซปราส จะเห็นได้ว่ามากกว่าเสียงของฝ่ายค้านไม่มากนัก หากมีสมาชิกฝ่ายรัฐบาลกลับลำตามที่ประชาชนเรียกร้องก็เป็นไปใด้
โดยที่ผู้เขียนเคยเป็นที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการเงินการคลัง สภาผู้แทนราษฎร และเคยบริหารสถาบันการเงินเอกชนมาก่อน จึงมองว่าประเทศกรีซอาจจะต้องพบกับวิกฤตทางการเงินและความรุนแรงต่อต้านจากประชาชนไปอีกนาน สาเหตุใหญ่ก็มาจากการบริหารประเทศที่ผิดพลาดในอดีตที่ไม่รัดกุมกับการบริหารงบประมาณ ทำให้ “Constitution” ของประเทศบอบช้ำมาก ยากแก่การเยียวยา ซึ่งเปรียบได้จากการบริหารบริษัทเอกชน ถ้าหากผู้บริหารละเลยในเรื่องของรายรับรายจ่ายอันไม่สมดุล โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหาร “Cash Flow” เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะเป็นต้นเหตุทำให้บริษัท “รุ่ง” หรือ “ล่ม” อยู่ที่จุดนี้เอง! เช่นเดียวกับการบริหารประเทศ ฉันใดก็ฉันนั้น!?
ดร.สมัคร เจียมบุรเศรษฐ์ อดีตประธานกรรมการ Asia Australia Commercial Bank และรองประธานกรรมการ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล กล่าวถึงหลักการบริหารเงินไว้ว่า “รัฐบาลจะต้องสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ ความสมดุลของรายได้ ความสมดุลในการกระจายรายได้ให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึง เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ประชาชนมีสันติสุข ประเทศชาติมั่นคง
ในการแก้ไขประเทศนั้น จะต้องใช้การบริหารแผนใหม่ที่มีระบบที่ดี มีแผนงาน มีความเจริญที่ต่อเนื่องแน่นอน มีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน มีการวางแผนสำหรับอนาคต เพื่อให้เกิดการประสานงานเท่าที่ควร
เศรษฐกิจเสมือนเป็นโครงสร้างของร่างกาย และเงินเป็นสายเลือดของชีวิต ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างของชนชั้น เลือดไม่อาจไปช่วยหล่อเลี้ยงส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายนั้นก็เน่า เงินไม่กระจายไปในที่ของภูมิภาค จังหวัดนั้น อำเภอนั้นก็จะอดตาย รัฐบาลที่ดีจึงต้องมีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง และให้มีการหมุนเวียนให้มากท่ี่สุด เพราะเงินหนึ่งบาทไม่เคยหายไปจากประเทศไทย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหาร”
การเกิดการประท้วงอันรุนแรงในกรีซ จึงสรุปได้ว่ามาจากเหตุปัจจัยที่รัฐบาลดำเนินนโยบายการเงินผิดพลาด ทำให้ “ตูดขาด” ต้องอาศัยผู้อื่นมาช่วยปะให้ จนกลายเป็นเบี้ยล่างเจ้าหนี้อย่างน่าเวทนา
ดังนั้น ปรากฏการณ์ประเทศกรีซในครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจผู้นำประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย จงอย่าได้ประมาท และใช้จ่ายเงินไปก่อน และการหวังเงินบ่อหน้า ควรระมัดระวังกับการจับจ่ายงบประมาณอย่างสุขุมรอบคอบ วิกฤตในประเทศกรีซจึงเป็นบทเรียนที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์อันยาวไกล


