posttoday

พองหนอ ยุบหนอ

07 กุมภาพันธ์ 2559

พระธรรมมังคลาจารย์ วิ. ยังชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับพองหนอ ยุบหนอไว้อีกว่า

โดย...จากหนังสือ 90 ปี พระธรรมมังคลาจารย์

พระธรรมมังคลาจารย์ วิ. ยังชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับพองหนอ ยุบหนอไว้อีกว่า

“...พองหนอ-ยุบหนอ เป็นอาการพองยุบของลมที่เข้าและออกของหน้าท้อง การกำหนดพองหนอ-ยุบหนอ จัดเป็นอานาปาสติปัฏฐานที่มีการกำหนดสติด้วย

ที่สำคัญมาก คือ เมื่อกำหนดรู้ พองหนอ-ยุบหนอ ลมเข้าออกนั้น จิตตามดูกำหนดรู้อาการพองยุบนั้น อย่าให้ขาดหายไป อย่าหนีลับ แต่เมื่อกำหนดไปเรื่อยๆ ถ้าหากมันหายไป ก็ให้กำหนดว่า รู้หนอ รู้หนอ รู้อะไร... จิตรู้จิต ก็ให้รู้ว่าลมหายไป รู้ถึงสิ่งที่มันมีอะไรเกิดขึ้นมา ที่มันเปลี่ยนแปลงไป ให้รู้สึกถึงลมเข้าและออก เรารู้ลมเข้าท้องก็พอง การที่อาการพองยุบหายไป คือ เราได้เข้าถึงอารมณ์อย่างละเอียดสุด พองหรือยุบที่หายไปจัดอยู่ในกฎไตรลักษณ์ คือไม่แน่นอน ไม่อยู่คงที่ (อนิจจัง) มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา (ทุกขัง) บังคับให้เป็นไปอย่างใจไม่ได้ ไม่ให้หายไปก็ไม่ได้ ให้หายไปก็ไม่ได้ (อนัตตา) จะปรากฏขึ้นมาอย่างนี้ คือ ความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ดังนั้น ในพองหนอ-ยุบหนอก็มีพระไตรลักษณ์อยู่ จึงขอให้เห็นคุณค่าของพองหนอ ยุบหนออย่างนี้...”

2.วิปัสสนากรรมฐานสติปัฏฐาน 4 ที่วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร

ขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งเผยแผ่กันที่วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เป็นแนวทาง พองหนอ-ยุบหนอ ที่สืบต่อกันมาจากพระมหาสีสะยาดอ วิปัสสนาจารย์ ประเทศเมียนมา เช่นเดียวกับแนวทางวิปัสสนาของพระภัททันตะอาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจริยะ พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) มีรายละเอียดต่อไปนี้

การเข้าปฏิบัติ เริ่มด้วยพิธีสมาทานกรรมฐาน จากนั้นจึงมีการชี้แนะแนวปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติได้ระยะหนึ่ง จึงมีการเข้าอธิษฐานและทวนญาณตามลำดับ การทวนญาณนั้นทวนได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ เมื่อจบการปฏิบัติในแต่ละครั้งจึงมีพิธีลาศีล

2.1 หลักสำคัญในการปฏิบัติ

2.1.1 ต้องกำหนดให้ได้ปัจจุบันธรรม

การกำหนด พองหนอ ยุบหนอก็ดี ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอก็ดี ต้องกำหนดให้ได้ ปัจจุบันธรรม กล่าวคือ จิตที่กำหนดว่าพอง กับท้องที่พองต้องพร้อมกัน อย่าให้ก่อนให้หลังกัน จิตที่กำหนดว่ายุบ กับท้องที่ยุบต้องให้พร้อมกัน อย่าให้ก่อนให้หลังกัน ในขณะที่กำหนดว่าขวา ต้องยกเท้าขวาทันที ในขณะที่กำหนดว่าย่าง ต้องสืบเท้าย่างออกไปทันที ในขณะที่กำหนดว่าหนอ ต้องให้วางเท้าลงพื้นพร้อมกันพอดี

ท่านอุปมาเหมือนแมวตะครุบหนู หนูยังมาไม่ถึง แมวตะครุบ แมวก็ไม่ได้หนู เพราะยังเป็นอนาคตอยู่ หนูเลยไปแล้ว แมวตะครุบ ก็ไม่ได้หนู เพราะมันเป็นอดีต หนูมาถึง แมวตะครุบ พอดี แมวจะได้หนู เพราะได้ปัจจุบัน

การกำหนดปัจจุบันธรรมทำให้ขณิกสมาธิรวมกันได้ดี อินทรีย์พละ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ก็จะมีพลังแก้กล้าขึ้น

2.1.2 ต้องทำให้ต่อเนื่องกัน

เมื่อกราบกรรมฐานแล้ว ต้องมาเดินและต้องมานั่งตามเวลาที่กำหนดให้ติดต่อกันต่อไป ในขณะที่พักผ่อนก็ต้องพยายามกำหนดอิริยาบถย่อยไปด้วย เช่น ล้างหน้า อาบน้ำ กินข้าว ถ่ายอุจจาระปัสสวะ เหยียดแขน คู้แขน แม้จะนอนก็ต้องกำหนดนอนหนอๆ แล้วก็กำหนดพองหนอ-ยุบหนอ จนกว่าจะหลับไป

ท่านมักสอนลูกศิษย์ให้ปฏิบัติต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา (ธรรมะจากหลวงปู่ 3,2450:75) “...ที่สำคัญที่สุดห้ามประมาทในอิริยาบท 4 ยืน เดิน นั่ง นอน ให้มีสติกำหนดด้วยตลอดเวลา ยืนก็อย่ายืนเฉยๆ ให้กำหนดยืนหนอๆ เดินก็อย่าเดินเฉยๆ ให้กำหนดเดินหนอๆ นั่งก็อย่านั่งเฉยๆ ให้กำหนดนั่งหนอๆ นอนก็อย่านอนเฉยๆ ให้กำหนดนอนหนอๆ อินทรีย์ 6 เมื่อเราเห็นก็ให้กำหนดเห็นหนอๆ เมื่อเราได้ยินเสียงก็ให้กำหนดได้ยินหนอๆ เมื่อเราคิดก็ให้กำหนดคิดหนอๆ เมื่อเราได้รสก็ให้กำหนดรสหนอๆ นี้เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า...”

2.1.3 ต้องประกอบด้วยองค์คุณ 3 ได้แก่

อาตาปี เพียรตั้งใจทำจริง สติมา มีสติระลึกรู้ก่อนที่รูปนามจะเกิดขึ้น สัมปชาโน มีสติ กำหนดรู้รูปนามอยู่ทุกขณะ เหมือนบุคคลผู้ไกวเปล สายตาย่อมมองตามสายเปลอยู่ทุกขณะ

2.1.4 ต้องปรับอินทรีย์พละให้เสมอกัน

กล่าวคือ ศรัทธาต้องเสมอกับปัญญา วิริยะต้องเสมอกับสมาธิ สติเป็นผู้ควบคุม ยิ่งมาก ยิ่งดี

ถ้าศรัทธายิ่ง ปัญญาหย่อน โลภะจะเข้าครอบงำ

ถ้าปัญญายิ่ง ศรัทธาหย่อน วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย) จะเข้าครอบงำ

ถ้าวิริยะยิ่ง สมาธิหย่อน อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) จะเข้าครอบงำ

ถ้าสมาธิยิ่ง วิริยะหย่อนโกสัชชะ (ความเกียจคร้าน) จะเข้าครอบงำ

วิธีเพิ่มศรัทธา ให้ทรงใจอยู่กับรูปนาม ศีล สมาธิ ปัญญา และปัจจุบันธรรม

วิธีเพิ่มวิริยะ เพียรตั้งใจทำจริง กินน้อย นอนน้อย พูดน้อย แต่ปฏิบัติให้มาก

วิธีเพิ่มสติ ให้ระลึกรู้อยู่ที่รูปนาม และการกำหนดตลอดเวลา

วิธีเพิ่มสมาธิ ตั้งใจแน่วแน่ในอารมณ์ที่กำหนด จิตกำหนดอารมณ์ใด ให้กำหนดมั่นอยู่ใน อารมณ์นั้น

วิธีเพิ่มปัญญา ให้รู้รูปนาม รู้ปัจจุบันธรรม รู้พระไตรลักษณ์ รู้วิปัสสนาปัญญา

2.2 วิธีการปฏิบัติ

2.2.1 วิธีกราบสติปัฏฐาน 4 หมายถึง วิธีกราบเบญจางคประดิษฐ์ ที่มีสติประคองอยู่ตลอดเวลากราบ จึงแบ่งเป็นขั้นตอนย่อยๆ ได้ 37 ขั้นตอน ตามอิริยาบถต่างๆ ในการกราบ

2.2.2 วิธีเดินจงกรม การเดินจงกรมและการกำหนดรู้ตัวอยู่เสมอ เป็นการฝึกปฏิบัติกรรมฐานในอิริยาบถบัพพะที่ว่า “คัจฉันโต วา คัจฉามีติ ปะชานาติ เมื่อเดินอยู่ก็ให้กำหนดรู้ว่า เดินอยู่ ฐิโต วา ฐิโตมหีติ ประชานาติ เมื่อยืนอยู่ก็ให้กำหนดรู้ว่ายืนอยู่”

การเดินจงกรมตามหลักปฏิบัติของวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร มี 6 ระยะ ดังนี้

1.เดินจงกรม 1 ระยะ “ขวาย่างหนอ ซ้ายอย่างหนอ”

โดยตั้งสติกำหนดยกเท้าขวาขึ้นเหนือระดับพื้นประมาณ 1 คืบ พร้อมกับการกำหนดในใจว่า “ขวา” แล้วก้าวเท้าขวาช้าๆ พอประมาณโดยกำหนด “ย่าง” พร้อมกับเท้าที่ก้าวไปให้ได้ปัจจุบัน ขณะที่วางพอเท้าเหยียบลงถึงพื้นก็ให้ทันกับคำว่า “หนอ” พอดี และขณะยกเท้าซ้าย ก้าวไปจนถึงส่งเท้าลงกับพื้นให้กำหนดในใจว่า “ซ้ายย่างหนอ” พอเท้าลงถึงพื้นก็ให้ทันกับคำว่า “หนอ” พอดี เช่นเดียวกับเท้าขวา

เมื่อเดินไปถึงสุดด้านใดด้านหนึ่งแล้ว ให้หยุดยืนสองเท้าวางชิดกันแล้วกำหนดในใจ ช้าๆ ว่า “หยุดหนอ หยุดหนอ หยุดหนอ” เมื่อรูปยืนปรากฏขึ้นก็ให้กำหนดในใจว่า “ยืนหนอ ยืนหนอ ยืนหนอ” เมื่อจะกลับก็ให้หันตัวมาทางขวาและยกเท้าขวาแยกมาตั้งเป็นมุมฉาก พร้อมกับกำหนดในใจว่า “กลับหนอ” ยกเท้าซ้ายตามมาวางชิดกันกับเท้าขวาพร้อมกับกำหนดในใจว่า “กลับหนอ”

ข่าวล่าสุด

“วราวุธ” ไหว้อนุสาวรีย์นายบรรหาร ก่อนไปสมัคร ภท.พรุ่งนี้