หลวงปู่คำพัน ยอดยุทธแห่งธรรม
หลวงปู่คำพัน โฆสปัญโญ (พระสุนทรธรรมากร) วัดธาตุมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม
โดย...เอกชัย จั่นทอง
หลวงปู่คำพัน โฆสปัญโญ (พระสุนทรธรรมากร) วัดธาตุมหาชัย ต.มหาชัย อ.ปลาปาก จ.นครพนม นับเป็นพระเกจิอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่มีวิชาอาคมอันเข้มขลัง มีปฏิปทาอันน่าเคารพศรัทธาเลื่อมใส มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศ อีกทั้งยังเป็นพระนักพัฒนา ผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองมาสู่วัดธาตุมหาชัย รวมทั้งคณะสงฆ์ในจังหวัด และใกล้เคียงอีกจำนวนมาก นับเป็นพระเถราจารย์ที่น่ากราบไหว้อย่างที่สุด
หลวงปู่คำพัน ท่านเกิดเมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2458 ณ บ้านหนองหอยใหญ่ ต.นาแก อ.นาแก จ.นครพนม ในตระกูล “ศรีสุวงศ์” เมื่ออายุ 17 ปี ได้เข้าบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดศรีบุญเรือง อ.นาแก ต่อมาได้พบกับพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายกัมมัฏฐานผู้มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้น จึงฝากตัวเป็นศิษย์ รับแนวทางการสอนของพระอาจารย์เสาร์มาปฏิบัติตาม โดยเฉพาะการกำหนดรู้ของลมหายใจเข้าออก ทำให้มีความรู้ในด้านนี้เพิ่มขึ้น
หลังจากนั้น ท่านได้เดินธุดงค์ไปทาง อ.ภูเรือ จ.เลย จนพบกับปะขาวครุฑ ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติผู้ใหญ่ และเป็นผู้มีวิชาอาคม ไสยเวทและวิชาแพทย์แผนโบราณอย่างแตกฉาน จึงได้ขอเรียนวิชาทั้งหมดนี้จากปะขาวครุฑ จนมีความรู้ความเข้าใจเป็นอันดีอีกทางหนึ่ง สำหรับปะขาวครุฑท่านนี้เป็นผู้ถือศีลปฏิบัติธรรมแบบพระ แต่ไม่ได้บวชเป็นพระ ครองผ้าขาวห่มกายเป็นประจำ ท่านเป็นศิษย์ของสำเร็จ ผู้สืบสานวิชาอาคมสายลุ่มน้ำโขงสมัยโบราณ จากท่านญาครูขี้หอม แห่งล้านช้าง ต้นตำรับวิชาอาคมสายนี้ ซึ่งโด่งดังในสมัยก่อนมาก
การฝึกวิปัสสนากรรมฐานนั้นหลวงปู่คำพันได้ศึกษากับท่านอาจารย์เสาร์ กันตสีโล พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนา ซึ่งในขณะนั้นหลวงปู่เสาร์ได้ให้การอบรมด้านวิปัสสนากรรมฐาน ให้กับพระภิกษุสามเณรและประชาชนผู้ใฝ่ธรรมที่วัดโพนเมือง ซึ่งหลวงปู่เสาร์ได้แนะนำวิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไว้ว่า ให้กำหนดลมหายใจเข้า-ออก พร้อมกับให้แนวความคิดเปรียบเทียบถึงร่างกายของคนเรานั้นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งมันทำงานอยู่ตลอดเวลา ลมหายใจเข้า-ออกนั้นมีความสำคัญมาก ถ้าลมหายใจไม่ทำงานคนเราตายทันที ดังนั้นจึงจำเป็นต้องกำหนดลมหายใจ
นอกจากนี้ หลวงปู่เสาร์ยังได้ย้ำอีกว่าให้ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นทำความเข้าใจในขันธ์ 5 ให้แตกให้เข้าใจความเป็นมาของขันธ์ 5 ให้ทำความเข้าใจในสภาพอันแท้จริง ซึ่งหลวงปู่คำพันได้ขีดแนวปฏิบัติของท่านหลวงปู่เสาร์ อย่างเคร่งครัดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และในเวลาต่อมาหลวงปู่คำพันได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมร่วมกันกับ “อาจารย์ครุฑ” ซึ่งเป็นพระขาว เหตุที่เรียกเช่นนี้เพราะว่า “ท่านอาจารย์ครุฑ” มิได้บวชเป็นพระภิกษุ แต่ถือการปฏิบัติทุกอย่างเหมือนพระและนุ่งขาวห่มขาวมาโดยตลอด
“ท่านอาจารย์ครุฑ” เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในด้านวิชาอาคมสูงมากมีลูกศิษย์ศึกษามากมายทั้งฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ หลวงปู่คำพันได้รับสรรพวิชาความรู้และแนวทางการปฏิบัติตลอดจนอาคมจาก “ท่านอาจารย์ครุฑ” ที่ จ.เลย ในขณะที่หลวงปู่คำพันยังเป็นสามเณร หลวงปู่ได้อยู่จำพรรษาเป็นเวลา 1 ปี ต่อมาได้รับข่าวว่าโยมบิดาถึงแก่กรรม ก่อนจะเดินทางกลับบ้าน มาอยู่จำพรรษาที่บ้านเดิมที่ อ.นาแก จนกระทั่งปี 2478 ขณะนั้นท่านอายุได้ครบ 20 ปี ท่านได้อุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุ ก่อนจะได้รับฉายาทางพุทธศาสนาจากอุปัชฌาย์ว่า “โฆษะปัญโญ” และได้ศึกษาปริยัติธรรมและการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ที่วัดบ้านเกิดของท่าน
ถัดมาในปี 2482 มารดาหลวงปู่คำพันได้ถึงแก่กรรม เวลานั้นเหลือเพียงน้องสาวที่มาอยู่สองคน ท่านจึงลาสิกขาบทออกมาเลี้ยงดูน้องจนกระทั่งน้องสาวเติบโตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้ ท่านจึงหวนกลับมาบรรพชาอุปสมบทใหม่อีกครั้งในปี 2487 และได้ออกมาจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าเป็นเวลา 3 พรรษา ต่อมาย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทจอมทอง ที่หมู่บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก จ.นครพนม เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมในสำนักแห่งนี้
ช่วงเวลาที่หลวงปู่คำพันจำพรรษาอยู่ พอออกพรรษาว่างจากภารกิจการสอนพระปฏิบัติธรรม ท่านก็ได้ออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งปี 2494 ขณะที่ท่านมาปักกลด กลางป่าดงดิบ ช่วงใกล้ค่ำ ท่านแห่งสถานที่แห่งนี้เหมาะสมแก่การปักกลด เพราะเป็นพื้นที่ร่ายล้อมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเป็นที่บำเพ็ญสมณธรรม
จากนั้นท่านได้อธิฐานปักกลดบำเพ็ญภาวนา จนเกิดนิมิตเป็นแสงพุ่งสว่างก่อนจะปรากฏร่างชีปะขาวยืนอยู่ก่อนจะก้มลงกราบนมัสการ ได้สอบถามได้ใจความว่าชีปะขาวต้องการให้หลวงปู่สร้างวัดเพื่อเป็นสถานแห่งธรรม แต่หลวงปู่คำพันไม่มีความสามารถพอที่จะสร้างได้ ที่สุดหลวงปู่ได้ออกจากนิมิต จากนั้นหลวงปู่ได้เดินคิดก่อนตัดสินใจ ทำวัดตามที่ได้พูดคุยกับชีปะขาว จากนั้นถอนกลดกลับถิ่นฐานเดิมทันที โดยชาวบ้านทุกคนต่างนับถือหลวงปู่คำพันได้ชักชวนให้กลับไปตั้งถิ่นฐานเดิม
ที่สุดแล้วหลวงปู่ ชาวบ้านและน้องๆ ของท่านต่างพร้อมใจกันอพยพครอบครัวจากหมู่บ้านหนองหอยใหญ่ อ.นาแก มาสร้างบ้านเรือนใหม่ สร้างชุมชนใหม่ และสร้างวัดใหม่ทั้งหมด โดยหลวงปู่ได้เริ่มก่อสร้างร่วมกับชาวบ้านในปี 2495 ที่บ้านโนนมหาชัย และได้ตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งใหม่นี้ขึ้นเป็น “บ้านมหาชัย”
นับตั้งแต่มาอยู่ ครั้งแรกหลวงปู่ เพียงแต่ปลูกกุฏิเล็กๆ และศาลาการเปรียญ เพื่อไว้ประกอบศาสนกิจและปรากฏการณ์อันน่าตะลึงได้เกิดขึ้นเพราะผู้คนจากต่างหมู่บ้าน ต่างท้องถิ่นทั้งใกล้และไกลเดินทางมาสู่วัดที่กำลังสร้างใหม่ เพื่อมาช่วยก่อสร้างนั่นทำให้การก่อสร้างเสร็จรวดเร็วเกินความคาดหมายของทุกคน ก่อนจะพร้อมใจตั้งชื่อวัดว่า “วัดโฆษะดาราม” อันเป็นนามของฉายาหลวงปู่ และเมื่อวัดได้รับการพัฒนาจนรุ่งเรือง ในคืนวันหนึ่งขณะท่านกำลังเจริญสมาธิได้เกิดปาฏิหาริย์เห็นเป็นรัศมีโชติช่วง และในครึ่งกลางนั้นปรากฏองค์พระบรมธาตุองค์ตั้งเด่นสูงสง่า
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นหลวงปู่คำพันรับรู้เลยว่าอีกไม่นานสถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เพราะจะมีบรมธาตุเกิดขึ้นที่นี่ หลวงปู่จึงคิดเปลี่ยนชื่อวัดเพื่อความ
เป็นสิริมงคลให้ตรงกับนิมิต จึงได้เปลี่ยนนามจากวัดโฆษะดาราม เป็นวัดธาตุมหาชัย จนกระทั่งทุกวันนี้


