2 ปีคดีรถหรู "สมเด็จช่วง" ปมร้อนสกัดนั่งเก้าอี้สังฆราช
ย้อนดูที่มาปัญหาการครอบครองรถหรูของ "สมเด็จช่วง" ที่กำลังเป็นปมร้อนในการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
การแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 กลายเป็นเรื่องร้อนแรงในสังคม หลังจากมีฝ่ายทั้งสนับสนุนและคัดค้านกับการเสนอ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่
ในทางกลับกัน มีการขุดคุ้ยประเด็นการครอบครองรถหรูของสมเด็จช่วง ถูกหยิบยกมาโจมตีเพื่อดิสเครดิตไม่ให้ขึ้นดำรงตำแหน่ง “ประมุขฝ่ายสงฆ์”
ย้อนดูที่มาปมปัญหาการครอบครองรถหรู พบว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีการครอบครองรถหรูเลี่ยงภาษี เป็นคดีพิเศษเลขที่ 111/2556 จากนั้นดีเอสไอได้ตรวจสอบตามขั้นตอน กระทั่งเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2558 พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ได้เคลื่อนไหวอย่างหนักและเข้ายื่นหนังสือต่อ สุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีดีเอสไอขณะนั้นเพื่อทวงถามความคืบหน้าการทำคดีของดีเอสไอถึง 2 คดี หนึ่งในนั้นเป็นคดีรถหรูเลี่ยงภาษีที่พบว่ากรรมการในมหาเถรสมาคม (มส.) ที่เป็นพระครอบครองรถหรูที่มีราคามากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไปหลายคัน
2 วันต่อมา อธิบดีดีเอสไอมอบหมายให้ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการ สำนักปฏิบัติการคดีพิเศษ ในฐานะผู้ทำคดีรถหรูทั้งหมดในขณะนั้น เป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับคดีว่ามีพระผู้ใหญ่ครอบครองรถหรูจำนวนหลายคัน โดยวันนั้น พ.ต.ท.กรวัชร์ ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ต้องจองตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับกะทันหัน ขณะที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ต้องตระเตรียมห้องแถลงข่าวอย่างเร่งด่วน
จนเข้าสู่เวลา 17.00 น. ตามหมายนัด มีสื่อมวลชนทุกสำนักมารออย่างพร้อมเพรียง ในวันนั้น พ.ต.ท.กรวัชร์ แถลงแจกแจงต่อสื่อว่า พบสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มีชื่อครอบครองรถจดประกอบยี่ห้อเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทะเบียน ขม 99 กทม. แต่ปัจจุบันรถคันดังกล่าวแจ้งจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกว่า ไม่ได้ถูกใช้ คาดว่าเป็นรถโบราณที่สะสมไม่ได้มีไว้ขับขี่
อย่างไรก็ตาม วันนั้น พ.ต.ท.กรวัชร์ ระบุว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอ จะตรวจสอบถึงรายละเอียดการนำเข้ารถและยังไม่เรียกให้พระผู้ใหญ่นำรถมาให้ทางดีเอสไอตรวจสอบ จนกว่ากรมศุลกากรจะชี้ขาดการเรียกประเมินภาษีรถจดประกอบล็อตแรกจำนวนกว่า 400 คัน ที่ดีเอสไอส่งไปให้ดำเนินการแล้วให้เสร็จก่อน
ข้อมูลรถหรูที่พาดพิงไปยังสมเด็จช่วง พระพุทธะอิสระ ขยายความว่า การยื่นให้ดีเอสไอสอบเมื่อปี 2556 ในคดีเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อมนำเข้ารถหนีภาษี ทำให้ทราบว่ารถหรูราคาแพง 1 ใน 6,757 คัน มีชื่อของสมเด็จช่วงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และครอบครองเอาไว้เป็นชื่อของตนเอง
พระพุทธะอิสระ ยังอ้างข้อมูลในชั้นสืบสวนของดีเอสไอว่า มีการทำนิติกรรมอำพราง สำแดงหลักฐานเป็นเท็จว่า รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ หมายเลขทะเบียน ขม 99 กทม. ขนาดเครื่องยนต์ 3,000 ซีซี ที่สำแดงว่าเป็นอะไหล่รถยนต์เก่า แต่แท้จริงเป็นการนำเข้ามาทั้งคัน การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิด พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 27 ฐานสำแดงเอกสารเท็จ หลีกเลี่ยงอากร
พระพุทธะอิสระ กล่าวว่า ปัญหาคือใครเป็นผู้สั่งนำเข้ารถคันดังกล่าว ส่วนหมายเลขทะเบียน ขม 99กทม. เดิมเป็นของนักธุรกิจหญิงรายหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้โอนเลขทะเบียนไปให้ ต่อมามีการวิ่งเต้นนำรถออกจากศุลกากร และขายให้พร้อมกันทั้งรถและป้ายทะเบียน จึงชัดเจนว่าไม่มีฆราวาสคนใดถวายรถยนต์คันนี้
พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ชี้แจงว่า ดีเอสไอรับเรื่องคดีการครอบครองรถหรู ตั้งแต่ปี 2556 เป็นคดีพิเศษ โดยได้แบ่งการดำเนินการออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีราคาเกิน 4 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 500 คัน และกลุ่มที่มีราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท มีจำนวนกว่า 5,000 คัน ที่ผ่านมาได้ดำเนินการตรวจสอบในกลุ่มแรกไปก่อนแล้ว
ขณะที่กลุ่มที่ราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท ซึ่งจำนวนนี้มีรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ ของสมเด็จช่วง รวมอยู่ด้วย และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบ ดังนั้นเมื่อมีการร้องเรียนดีเอสไอได้ประสานไปยังกรมศุลกากรเพื่อขอข้อมูลในการนำเข้าชิ้นส่วนของรถจดประกอบ โดยรถของสมเด็จวัดปากน้ำได้จดทะเบียนเป็นผู้ครอบครองเป็นคนแรก แต่ปัจจุบันได้แจ้งยกเลิกใช้งานรถคันดังกล่าวแล้ว และถูกนำเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์เป็นของสะสม
พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า แม้จะมีการร้องเรียนให้เร่งตรวจสอบเรื่องนี้ แต่ก็ต้องแยกแยะระหว่างคดีทางโลกและทางธรรม ซึ่งหลังจากนี้พนักงานสอบสวนคงต้องเข้าไปตรวจสอบเอกสารว่ารถจดประกอบคันดังกล่าวนำเข้ามาผิดหรือไม่ และเป็นการนำเข้าชิ้นส่วนหรือเป็นการนำเข้าทั้งคัน ทั้งนี้ดีเอสไอยืนยันว่า ทำคดีมาโดยตลอด ยืนยันคดีไม่ได้เงียบหายยังคงเร่งรัดอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดเป็นช่วงระยะเวลา 2 ปีเศษ ที่คดีความยังไม่คืบหน้า ล่าสุดประเด็นรถหรูถูกปลุกเป็นกระแสอีกครั้ง เมื่อ ไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ต้องการให้ดีเอสไอพิจารณาเร่งรัดทำคดีนี้ เพราะผู้ที่จะได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่จะต้องไม่มีคดีความค้างคาอยู่


