ยุทธศักดิ์ สุภสร ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
การก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในองค์กรที่คุ้นเคยกับคำว่า “ลูกหม้อ” นั่งแท่นบริหารงานมาตลอดระยะเวลา
โดย...พีรดา ปราศรีวงค์
การก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในองค์กรที่คุ้นเคยกับคำว่า “ลูกหม้อ” นั่งแท่นบริหารงานมาตลอดระยะเวลาที่ก่อตั้งมานานกว่า 55 ปี อย่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ถือเป็นเรื่องยากที่คนนอกจะฝ่าแรงต้านและด่านอรหันต์หลายขั้นตอน ในยามบ้านเมืองไทยกำลังปฏิรูปทางการเมืองอย่างเข้มข้น
แต่ปัจจัยเหล่านั้นไม่สามารถขวางกั้นความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ของ ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท.คนปัจจุบัน ม้านอกสายตาที่ฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการขึ้นเป็นผู้นำ ททท.คนที่ 10 ได้จนเป็นผลสำเร็จ และถือเป็นผู้ว่าการคนหนุ่มที่มีอายุน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ว่าการ ททท.ที่ผ่านมา
แม้จะไม่ใช่ผู้คร่ำหวอดในวงการท่องเที่ยวโดยตรง โดยหลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรีเศรษฐศาสตรบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อด้วยการเป็นนักเรียนทุนปริญญามหาบัณฑิต ด้านเศรษฐศาสตร์ และปริญญาดุษฎีบัณฑิต ด้านเศรษฐศาสตร์ จาก Keio University ประเทศญี่ปุ่น การทำงานที่ผ่านมามีส่วนเกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย แม้ว่าหลังเรียนจบจะได้รับการทาบทามจากบริษัทชื่อดังในประเทศญี่ปุ่นหลายแห่ง แต่เขาเลือกเส้นทางชีวิตการทำงานเป็นข้าราชการ เริ่มจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปี 2539-2545 ย้ายไปสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปี 2545-2547 เป็นรองผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ปี 2547-2550 ก่อนขึ้นเป็นผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ในปี 2550 และเป็นผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ปี 2552
“ที่บ้านและเพื่อนฝูงต่างแปลกใจที่ผมไม่เลือกทำงานที่ญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่มีบริษัทดังหลายแห่งมาติดต่อและถือเป็นช่วงเวลาเนื้อหอมสำหรับเด็กจบใหม่ แต่ผมเลือกที่จะรับราชการ เพราะส่วนตัวเชื่อว่าคนที่ทำงานและผ่านระบบราชการมาแล้ว จะสามารถผ่านการทำงานอื่นๆ ได้หมด ซึ่งผมเติบโตมาทางสายงานราชการที่มีสไตล์การทำงานกึ่งเอกชน ภาพการทำงานของราชการค่อนข้างล่าช้า แต่เราปรับปรุงพัฒนาการทำงานของตัวเองให้มีความแตกต่างได้ หลายคนมองว่าจุดแข็งของผม คือ ทำงานเร็ว คิดเร็ว ส่วนตัวมองว่าการทำงานอาจไม่เสร็จสมบูรณ์แบบ 100% แต่งานต้องเสร็จสามารถสนองตอบเป้าหมายที่ตั้งไว้ ต้องมีคุณภาพ ที่สำคัญตรงตามเวลา สามารถตอบโจทย์ ความคาดหวังของผู้มอบหมายงานได้” ยุทธศักดิ์เล่าถึงแนวทางการทำงานของตัวเอง
สำหรับหลักการเป็นผู้นำได้ใช้ 4 แนวทางหลัก เป็นเข็มทิศในการเลือกใช้แต่ละจังหวะที่เข้ามา คือ 1.เชื่อในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ต้องไม่ยึดติดเรื่องเดิม แผนการทำงานไม่ควรวางไว้ระยะยาวมากนัก แต่แผนทุกอย่างต้องปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา และต้องเตรียมความพร้อมยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เพราะโลกปัจจุบันไม่มีความแน่นอน การปรับตัวและทันต่อสถานการณ์สร้างความได้เปรียบเสมอ โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวมีความอ่อนไหวต่อทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การแข่งขันสูง 2.คนผู้เป็นนำต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้าพูด และกล้าที่จะตัดสินใจ ต้องคิดเร็วทำเร็วก่อนผู้อื่นเสมอ และสิ่งที่จะหล่อหลอมให้ผู้นำมีความเฉียบคมมากยิ่งขึ้น ขาดไม่ได้เลยคือทีมทำงานที่ดี พร้อมเดินหน้าลุยไปด้วยกัน
3.เรียนรู้จากความสำเร็จและความผิดพลาดที่ผ่านมาทั้งของตัวเองและผู้อื่น มาปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด เพื่อนำมาใช้กับแผนงานแต่ละเรื่องว่าควรตัดสินใจคิดหาแนวทางทำใหม่ หรือทำเหมือนเดิมแต่ปรับปรุงให้ยอดเยี่ยมมากขึ้น และส่วนที่ขาดไม่ได้ในชีวิตการทำงาน คือ 4.การสร้างสมดุลให้กับชีวิตตัวเองระหว่างการทำงานและครอบครัว
นอกจากนี้ ผู้นำที่ดีควรมีวินัยการทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชา การมีวินัยต่อตัวเอง และการสร้างตำแหน่งหน้าที่งานส่งต่อให้กับลูกน้อง โดยต้องยอมรับสิ่งที่สั่งสมให้ตัวเองสามารถยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะได้รับโอกาสและการสอนงานจากผู้ใหญ่ อย่าง สถาพร กวิตานนท์ อดีตเลขาธิการบีโอไอสมัยนั้น แม้ปัจจุบันท่านจะถึงแก่อนิจกรรมแล้ว คำสอนต่างๆ ยังอยู่ในใจและนำมาปรับใช้เสมอ
เมื่อไปทำงานเป็นทีมหน้าห้อง สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ยิ่งมีโอกาสได้เรียนรู้งานที่มีความหลากหลาย และเป็นงานที่มีเรื่องการท่องเที่ยวของประเทศร่วมด้วย อย่างโครงการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ และครัวไทยสู่ครัวโลก เป็นการสร้างชื่อเสียงประเทศไทยในเวทีโลก เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาพลักษณ์ให้กับประเทศไทย เมื่อมีโอกาสมานั่งกำกับด้านการท่องเที่ยวเต็มตัว เขาจึงปลุกกระแสให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ ผ่านโครงการเที่ยวช่วยไทย ที่กล้าแจกเปิดชิงโชครางวัลเงินสดมูลค่า 1 ล้านบาท และรางวัลที่สอง มูลค่า 2.5 แสนบาท อีก 5 รางวัล ทุกเดือน พ่วงชิงโชคใหญ่ทุกไตรมาสแจกบ้านหรือรถยนต์เป็นรางวัลใหญ่
แนวคิดโครงการเที่ยวช่วยชาติต้องการสร้างความแตกต่างและกระแสการเดินทาง แม้รู้ว่าปัจจัยลบเรื่องสภาวะเศรษฐกิจจะเป็นตัวฉุดรั้ง แต่เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะมีกระแสการตอบรับที่ดี เพราะการลงทุนแจกรางวัลจะทำให้เห็นภาพชัดเจน สร้างกระแสการเดินทางได้มากขึ้น ถือเป็นการใช้งบประมาณที่คุ้มค่า เฉลี่ยลงทุนเดือนละ 2 ล้านบาท คาดว่าหลังเริ่มโครงการนี้ตั้งแต่เดือน ก.พ.-ธ.ค. คาดว่าสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนให้กับระบบเศรษฐกิจไทยอีกกว่า 5 หมื่นล้านบาท ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
“ผมเชื่อว่าการบริหารองค์กรโดยทั่วไป ใน 100% มี 20% ที่จะรักเราและพร้อมจะเข้าข้างเสมอ 20% จะเป็นกลุ่มที่ไม่ว่าจะทำอะไรดีแค่ไหนก็พร้อมจะอยู่ฝั่งตรงข้ามและต่อต้านเสมอ ส่วนอีก 60% เป็นกลุ่มที่ให้โอกาสรอดูสถานการณ์ว่าทำดีหรือไม่ดีประกอบการตัดสินใจ สะท้อนได้ว่าไม่ว่าทำดีแค่ไหนไม่สามารถทำให้คนชื่นชอบหรือรักได้ทั้งหมด แต่จะปรับสัดส่วนนี้อย่างไรให้องค์กรเดินต่อไปได้ บางคนบอกทำไมผมไม่สร้างบุคลิกให้ตัวเองดุหรือเคร่งขรึม ผมมองว่าการเป็นตัวของตัวเองเป็นเรื่องที่ดีที่สุด” ยุทธศักดิ์ กล่าว
สำหรับเป้าหมายการเป็นผู้นำใน ททท. นอกจากปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยแล้ว สิ่งที่มุ่งไว้ ยุทธศักดิ์ บอกว่า ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนใน ททท.ให้ดีขึ้นในทุกด้าน ทั้งค่าตอบแทนรายเดือน และสวัสดิการของคนองค์กร เพราะ ททท.เป็นหน่วยงานที่มุ่งส่งเสริม ไม่มีรายได้เป็นของตัวเองเหมือนรัฐวิสาหกิจอื่น สิ่งที่เตรียมทำคือการปรับฐานเงินเดือนพนักงานให้สอดคล้องกับการทำงานปัจจุบัน
นอกจากนี้ ได้ปรับตารางการทำงานของตัวเองให้เอื้อต่อการทำงานของพนักงานฝ่ายปฏิบัติมากขึ้น ช่วงที่รับตำแหน่งใหม่ๆ ที่ ททท.จะเดินทางมาทำงานเช้ามาก เพราะเป็นคนตื่นเช้า ทำให้เรียนรู้ได้ว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับพนักงานในส่วนปฏิบัติที่ต้องเร่งรีบมาถึงให้เช้ากว่าเพื่อมาเตรียมงานให้ตัวเอง ขณะที่คน ททท.ทำงานเลิกมืดค่ำ เมื่อตื่นเช้ากลับดึก และค่าตอบแทนการทำงานน้อย ทั้งๆ ที่ ททท.เป็นหน่วยงานสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล
ในฐานะที่เป็นผู้นำ ได้ปรับส่วนการทำงานให้เหมาะสมมากขึ้น โดยตัวเองตื่นเช้าจะให้เวลาในการออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ติดตามสถานการณ์บ้านเมืองและวางแผนตารางการทำงานก่อนออกจากบ้านเสมอ เพื่อรวบรัดการทำงานให้รวดเร็วแต่ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น
“การเป็นผู้นำไม่ว่าจะมาจากภายในหรือภายนอกองค์กรไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะการเป็นผู้นำมีงานที่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจน แต่การที่เราจะบริหารจัดการและใช้อำนาจที่มีอยู่สร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวม สร้างความสุขให้กับลูกน้องถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะอำนาจไม่จีรัง แต่การสร้างความเคารพนับถือเป็นที่รักเป็นสิ่งที่ผมจะทำ ผมหวังไว้ว่าในวันหนึ่งเมื่อพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว จะสามารถเดินทางมาเยี่ยมองค์กร ททท.ได้ด้วยการต้อนรับที่ดี และมีความสุขจากใจจริงของพนักงาน” ผู้ว่าการ ททท. กล่าวทิ้งท้าย


