posttoday

แรงกดดัน 3 ระลอก คลื่นบนน้ำถล่ม คสช.

11 มกราคม 2559

เพิ่งจะเข้าสู่ปีใหม่ 2559 ไม่ทันไร แม่น้ำ 5 สายก็กำลังเจอกับกระแสกดดันอีกครั้ง

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

เพิ่งจะเข้าสู่ปีใหม่ 2559 ไม่ทันไร แม่น้ำ 5 สายก็กำลังเจอกับกระแสกดดันอีกครั้ง และดูท่าแล้วคลื่นลมระลอกนี้จะหนักกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องรบกับแรงปะทะที่มาจากเรื่องความไม่โปร่งใสของการก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ เวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต้องคอยชี้แจงวันละสามเวลาว่าไม่มีการทุจริต ทุกอย่างโปร่งใส และตรวจสอบได้ ซึ่งกว่ารัฐบาลจะฝ่าคลื่นลูกนี้มาได้ ก็เหนื่อยอยู่ไม่น้อย

มารอบนี้ แม่น้ำทั้ง 5 สายได้เข้าสู่สถานการณ์ลำบากอีกครั้ง ภายหลังเริ่มปรากฏความเคลื่อนไหวจาก 3 กลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์ในการเคลื่อนไหวแตกต่างกันออกไป

1.กลุ่มพระสงฆ์ เมื่อปฏิทินของการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญใกล้เข้าสู่วันที่ 29 ม.ค. ซึ่งเป็นวันที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ต้องเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับต่อสาธารณะเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้กลุ่มพระสงฆ์และฆราวาสออกตัวแรงมากขึ้นเท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้ กรธ.บรรจุถ้อยคำว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ทั้งนี้ กลุ่มพระสงฆ์ได้มีการยื่นเรื่องให้กับ กรธ.มาเป็นระยะอยู่แล้ว แต่ กรธ.ยังไม่ได้มีท่าทีตอบรับหรือปฏิเสธ โดยอ้างว่าขอนำไปพิจารณาก่อน ส่งผลให้กลุ่มองค์กรชาวพุทธไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก ถึงขั้นประกาศว่าหากในร่างรัฐธรรมนูญที่จะส่งให้ประชาชนลงประชามติไม่ได้กำหนดให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ จะเคลื่อนไหวรณรงค์ให้ประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ

"หากพบว่าสุดท้ายแล้วในรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะมีการทำประชามตินี้ ไม่มีการบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ทางศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเครือข่ายองค์กรชาวพุทธต่างๆ จะร่วมกันรณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเรื่องศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เป็นประโยชน์ต่อประเทศ" พระเทพวิสุทธิกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส ในฐานะประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ระบุ

2.กลุ่มชาวสวนยางพารา อาจเรียกได้ว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่ต้องจับตาเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีพลังกดดันได้ขนาดไหน เพราะเป็นอีกครั้งที่กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพารานัดรวมตัวเพื่อให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำอย่างจริงจังในวันที่ 12 ม.ค.ที่ จ.ตรัง ซึ่งจะมีกลุ่มเกษตรกรจากหลายพื้นที่ในภาคใต้เข้าร่วมด้วย

ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามชี้แจงทำนองว่าไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหานี้ พร้อมกับมีมาตรการรองรับเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาวเพื่อให้ราคายางพาราสูงขึ้น และมีความยั่งยืนในระยะยาว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ มีถ้อยคำสร้างความไม่พอใจให้กับเกษตรกรอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการขู่จะใช้กฎหมายจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม รวมไปถึงการแนะนำให้ไปปลูกสตรอเบอร์รี่ในสวนยาง

"ถ้าจะออกมาชุมนุมก็ออกมา หากออกมาก็มีคดี ตนก็ทำของตนไป แต่ปัญหาราคายางตกต่ำ ก็มีการช่วยเหลืออยู่แล้ว...ยางทั้งหมดที่ปลูก 5 ล้านไร่ ได้ผลผลิตกี่ล้านตัน เกินหรือไม่ มันก็เป็นแบบนี้ แล้วใครทำให้ปลูกเยอะ ถ้าปลูกอย่างพอประมาณ โดยวันนี้หลายแห่งช่วยตัวเองได้ ด้วยการปลูกสตรอเบอร์รี่ในสวนยาง ปลูกกล้วยหอมทองแทรก จะปลูกอะไรก็ปลูกกันเพื่อให้เกิดรายได้ ให้อยู่กินทดแทนราคายางที่ตกไปก่อน" คำสัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 7 ม.ค.

3.กลุ่มภาคประชาสังคม การนัดรวมตัวเพื่อแสดงท่าทีคัดค้านรัฐบาลของกลุ่มเอ็นจีโอ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีฟางเส้นสุดท้ายมาจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจในฐานะหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ปลดกรรมการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จำนวน 7 คน ประกอบด้วย นพ.วิชัย โชควิวัฒน สงกรานต์ ภาคโชคดี เอ็นนู ซื่อสุวรรณ ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ สมพร ใช้บางยาง ประภัทร นิยม และวิเชียร พงศธร พ้นจากตำแหน่ง

สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งเป็นการตอกย้ำให้กับกลุ่มภาคประชาสังคมว่าเป็นความพยายามจะล้มกองทุน สสส.ที่ได้รับเงินมาจากภาษีบาปตามกฎหมาย โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ การตัดท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มเอ็นจีโอ หลังจากเมื่อไม่นานมานี้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เข้ามาตรวจสอบการใช้งบประมาณของกองทุน สสส. และมีคำสั่งให้ระงับการอนุมัติโครงการที่วงเงินเกิน 5 ล้านบาท พร้อมทั้งขอกลั่นกรองการเบิกจ่ายงบประมาณเอง เป็นเหตุให้มีไม่ต่ำกว่า 4,000 โครงการที่ได้รับผลกระทบ

ตรงนี้เองที่ทำให้กลุ่มประชาสังคมกว่า 20 กลุ่ม อาทิ ชมรมแพทย์ชนบท เครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายเด็ก เยาวชนและครอบครัว เครือข่ายงดเหล้าและบุหรี่ เครือข่ายเกษตรและความมั่นคงทางอาหาร กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (FTA Watch) เป็นต้น ต้องออกมาเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ 11 ม.ค. เพื่อกดดันรัฐบาล

แรงกดดันที่กำลังก่อตัวทั้ง 3 กลุ่มในขณะนี้ จริงอยู่อาจไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองในระดับที่สามารถล้มรัฐบาลได้ แต่อีกด้านย่อมจะมีผลให้รัฐบาลมีศัตรูเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับการเสียแนวร่วมสำหรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไปในตัว เพราะการปฏิรูปประเทศที่รัฐบาลและ คสช.ตั้งความหวังที่จะทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้ คงไม่สามารถเดินหน้าได้เพียงลำพัง

บางทีเค้าลางของคำว่า "รัฐประหารเสียของ" อาจจะได้เห็นในเร็วๆ นี้ก็เป็นได้

ข่าวล่าสุด

อภิสิทธิ์–กรณ์–กานดี เปิด 27 นโยบายพรรค ขอโอกาสกลับมาบริหารประเทศ