ชาติศิริ โสภณพนิช ธนราชันย์รุ่นที่ 3
หลังจาก ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ต้องพ้นจากตำแหน่งประธานสมาคมธนาคารไทย เพื่อไปนั่งเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ที่ประชุมสมาคมธนาคารไทยก็ได้มีมติเลือก ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ลูกชายคนเก่งของ ชาตรี โสภณพนิช ให้ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมธนาคารไทยคนใหม่ หลังจากที่เคยดำรงตำแหน่งนี้มาแล้วครั้งหนึ่งและประสบความสำเร็จ ในการบริหารจัดการเพื่อนำพาให้สมาคมธนาคารไทยเดินไปสู่เป้าหมายในการร่วมมือร่วมใจกัน ทำให้สถาบันการเงินของประเทศมีความเป็นปึกแผ่นสามารถทำประโยชน์ให้แก่ระบบการเงินของประเทศ และประโยชน์ของสังคมโดยส่วนรวมได้เป็นอย่างดี
เราจึงน่าจะมาทำความรู้จักกับ ชาติศิริ โสภณพนิช นายธนาคารหนุ่มใหญ่ ผู้มีความรู้ความสามารถมีจิตสำนึกดี และมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลคนนี้ดู
ชาติศิริ โสภณพนิช เกิดเมื่อวันที่ 12 พ.ค. 2502 เป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้อง 4 คนของ ชาตรี และคุณหญิงสุมนี โสภณพนิช จบการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนอัสสัมชัญ แล้วไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีทางด้านวิศวกรรมเคมี สำเร็จการศึกษาในระดับเกียรตินิยมจาก Warchester Polytecnie Institute Cambride และปริญญาโทสาขาเดียวกัน จาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) Cambride และปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจ (MBA) จาก Sloan School of Management
แม้จะเป็นที่กล่าวกันว่า ชาติศิริ โสภณพนิช เป็นผู้มีสิทธิมาตั้งแต่เกิดสำหรับการเป็นผู้นำระดับสูงในธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ สืบต่อจาก ชาตรี โสภณพนิช ผู้เป็นพ่อ หากแต่ ชิน โสภณพนิช ผู้เป็นปู่ได้มองเห็นแววและความเป็นทายาทที่หวังได้ของหลานชายผู้นี้มาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแล้วว่า หลานชาย โทนี่ จะเป็น
“โสภณพนิช รุ่นที่ 3” ที่จะทำให้ปู่นอนตายตาหลับ และไม่ต้องห่วงกังวลเลยกับอนาคตของธนาคารกรุงเทพ เมื่อเห็นความเป็นคนดีมีความมุ่งมั่น ซื่อสัตย์สุจริต ความมีน้ำใจ สุภาพอ่อนน้อม รู้จักให้เกียรติคนอื่น และมีความเคารพผู้ใหญ่ ซึ่งก่อตัวอย่างมีรากฐานจนกลายเป็นคุณสมบัติประจำตัวของหลานชายผู้นี้หลังจากจบการศึกษาแล้ว ชาติศิริ เริ่มทำงานที่ซิตี้แบงก์ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาตลอดระยะเวลาที่ทำงานอยู่ในซิตี้แบงก์ ชาติศิริ พยายามที่จะเรียนรู้งานและสั่งสมประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นพนักงานที่จริงจัง มีความรับผิดชอบสูงถึงกับมีเรื่องเล่ากันว่า ในขณะที่ลูกชายทำงานอยู่ที่ซิตี้แบงก์ที่นิวยอร์ก ชาตรี โสภณพนิช เคยไปเยี่ยม แต่ต้องนั่งรอลูกเป็นชั่วโมง เพราะลูกชายไม่ยอมออกมาพบ เป็นเพราะว่า
“ทำงานยังไม่เสร็จ”จากซิตี้แบงก์ที่นิวยอร์ก ชาติศิริ โสภณพนิช กลับมาทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ ในปี 2529 ในส่วนพนักงานฝึกหัด สังกัดฝ่ายการพนักงาน แล้วจึงไปเป็นดีลเดอร์อาวุโส ประจำสำนักเงินตราต่างประเทศ ต่อมาไม่นานก็ได้เป็นเจ้าหน้าที่บริหารชั้นผู้ช่วยผู้จัดการ และเป็นผู้ช่วยผู้จัดการสำนักเงินตราต่างประเทศในปี 2531 จากนั้นในเดือน ธ.ค. 2531 ก็ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารชั้นรองผู้จัดการฝ่ายการตลาด เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดในปี 2532 และรักษาการผู้จัดการสำนักจัดสรรเงินรับผิดชอบการบริหารการเงินและการตลาด
ในเดือน มิ.ย. 2534 ได้เป็นเจ้าหน้าที่บริหารชั้นรองผู้จัดการอาวุโส เดือน เม.ย. 2535 เป็นกรรมการธนาคารและกรรมการบริหาร แล้วเป็นกรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ในปี 2536 ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ในเดือน ธ.ค. 2537 จึงได้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ มาจนถึงปัจจุบัน
การไต่เต้าทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียรด้วยความพร้อมที่จะเรียนรู้งานในทุกด้านประกอบกับการที่มีผู้ใหญ่ของธนาคารผู้มากด้วยประสบการณ์ ความสามารถ มาช่วยฝึกฝนและถ่ายทอดความรู้และช่วยฝึกปรือกลยุทธ์ต่างๆ ให้ เช่น พีระพงษ์ ถนอมพงษ์พันธ์ วิชิต สุรพงษ์ชัย ดำรงค์ กฤษณามระ ประยูร คงคาทอง ปิติ สิทธิอำนวย และวิระ รมยะรูป ที่ทำให้ ชาติศิริ โสภณพนิช เคยกล่าวว่า
“แม้ภาระหน้าที่จะหนัก แต่ผมไม่หนักใจ เพราะในธนาคารมีผู้บริหารชั้นยอดอยู่มาก” นั้นเป็นช่วงเวลาที่มีค่าอย่างยิ่งในชีวิตการทำงานของชาติศิริ ส่งผลให้ ชาติศิริ โสภณพนิช นอกจากจะเป็นนายธนาคารหนุ่มใหญ่ผู้มีความรู้ความสามารถที่นับได้ว่าไม่ธรรมดาแล้ว เขายังเป็นคนหนุ่มที่โชคดีที่มีโอกาสได้ฝึกฝนวิทยายุทธ์กับบรรดาผู้มีประสบการณ์ความสามารถที่รวมกันอยู่ในธนาคารกรุงเทพ กว่า 13 ปีที่ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ชาติศิริยังได้รับการฝึกปรือและถ่ายทอดวิชาความรู้ประสบการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิดจาก ชาตรี โสภณพนิช บิดาผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักการธนาคารผู้มีฝีมืออันเยี่ยมยุทธ์ ได้รับความรู้ทางด้านการเงินการคลังอย่างหลากหลายจาก นุกูล ประจวบเหมาะ อดีตรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังและอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้เป็นพ่อตา ได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญของประเทศ เช่น ดร.โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ดังจะเห็นได้ว่าในระยะเวลาเพียง 3 ปีที่ ชาติศิริ โสภณพนิช เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ประเทศไทยก็ต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งอย่างหนักในปี 2540 ธนาคารกรุงเทพก็เป็นสถาบันการเงินอีกแห่งหนึ่งที่จะต้องเผชิญกับปัญหาไม่ต่างไปจากที่อื่นๆ แต่ในฐานะผู้นำของสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ชาติศิริก็ได้ใช้สติและความสงบนิ่งมองปัญหาทุกอย่างด้วยความเข้าใจและทะลุปรุโปร่ง ทำให้สามารถแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนั้นให้ผ่านไปได้ แม้จะเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญทางประวัติศาสตร์การเงินของไทยที่จำเป็นจะต้องเพิ่มทุนจำนวนมหาศาลด้วยการเปิดทางให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในกิจการของธนาคารครอบครัว ที่มีประวัติศาสตร์อย่างน่าภาคภูมิใจมายาวนานหลายทศวรรษ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ด้วยเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากรากฐานของความเป็นจริงที่ทุกตระกูลธุรกิจที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานจำเป็นจะต้องรักษาธุรกิจหลักของตระกูลให้อยู่รอดยาวนานที่สุด “ซึ่งในครั้งนั้น ชาติศิริ โสภณพนิช ได้กล่าวว่าการที่ธนาคารกรุงเทพสามารถฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจไปได้มิใช่เกิดจากตัวเขาเพียงคนเดียว หากเกิดขึ้นจากผู้บริหารทุกคนรวมถึงพนักงานของธนาคารกรุงเทพทุกคนด้วย” วิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้จึงถือเป็นบททดสอบความรู้ความสามารถฝีไม้ลายมือครั้งใหญ่ของ ทายาทรุ่นที่ 3 แห่งตระกูลโสภณพนิช ที่ชื่อชาติศิริ ในฐานะนักบริหารมืออาชีพที่ถึงพร้อมมิใช่ฐานะลูกชายของชาตรีและหลานปู่ของ ชิน โสภณพนิช ธนราชันย์ของไทยเท่านั้นอย่างไรก็ตาม แม้ ชาติศิริ โสภณพนิช จะประสบความสำเร็จในฐานะผู้บริหารธนาคารมืออาชีพมีความโดดเด่นในผลงานด้านต่างๆ โดยเฉพาะการสร้างผลกำไรให้กับการประกอบการของธนาคารมาอย่างต่อเนื่อง และมียอดกำไรพุ่งทะยานอย่างไม่หยุดยั้งตอกย้ำความเป็นธนาคารพาณิชย์อันดับ 1 ของเมืองไทยตลอดมาก็ตาม แต่การก้าวเร็วของชาติศิริ กับตำแหน่งใหญ่ในธนาคารกรุงเทพ ทำให้เขาต้องทำงานหนักและพยายามพิสูจน์ความสามารถ ด้วยการก้าวต่อไปโดยไม่ยอมอยู่นิ่ง แม้วันนี้ ชาติศิริ โสภณพนิช จะพิสูจน์ตัวเองจนเป็นที่ประจักษ์แล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังมีความมุ่งมั่นที่จะนำพาองค์กรของเขาให้เติบใหญ่มั่นคงอย่างหนักแน่น อย่างที่นักวิเคราะห์ชาวต่างชาติมีความเห็นว่า แม้ที่ผ่านมาธนาคารกรุงเทพจะไม่มีความหวือหวาด้านการตลาดเท่ากับธนาคารพาณิชย์อันดับ 2 และ 3 ที่พยายามเข้าท้าชิงตำแหน่งหมายเลข 1 แต่ด้วยความเข้มแข็งทางการเงินและความชำนาญอย่างยาวนานในธุรกิจ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่คู่แข่งจะสามารถตีตื้นขึ้นมาได้ในเวลาอันสั้น
“
เรามองว่าจุดแข็งของธนาคารกรุงเทพ คือ การเป็นแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ และฐานลูกค้าที่หยั่งรากลึกจนแข็งแรงมั่นคง ที่สำคัญการจับทัพของแบงก์กรุงเทพกับบริษัทในเครือ จะยิ่งปรากฏภาพการทำงานร่วมกันมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการรับมือกับทุนต่างชาติ”แต่ในมุมมองผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ มองว่าปัจจัยที่ตอกย้ำความเป็นเบอร์ 1 ของการเป็นธนาคารพาณิชย์ระดับประเทศและระดับเอเชียก็คือ
“ศักยภาพของพนักงาน” เพราะ “พนักงาน” หรือ “คนในองค์กร” คือทรัพยากรอันมีค่ามากที่สุด เนื่องจาก “คน” เหล่านี้จะทำให้ธนาคารกรุงเทพเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน ดั่งคำพูดที่ว่า...“เมื่อคนแข็งแรง องค์กรย่อมแข็งแรง และเมื่อองค์กรแข็งแรง คนก็จะมีความสุขกับการทำงาน” ดังนั้นคุณภาพ 3 อย่างที่ ชาติศิริ มุ่งเน้นในการพัฒนาและเอาใจใส่มากในลำดับต้นๆ ก็คือ คุณภาพบริการ คุณภาพพนักงาน และคุณภาพของสินทรัพย์ ที่สำคัญยังเน้นการขยายเครือข่ายสาขาให้ครอบคลุมทั่วเอเชีย เพราะ ชาติศิริ มองว่าเขาไม่ได้ต้องการประสบความสำเร็จในเชิงการบริหารธนาคารกรุงเทพแต่เพียงฝ่ายเดียว หากเขาต้องการให้พนักงานทุกคนของธนาคารกรุงเทพประสบความสำเร็จด้วย “คุณลักษณะของผู้บริหารมืออาชีพจะต้องเป็นผู้นำ สามารถตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด สามารถคิดในเชิงยุทธศาสตร์ยึดมั่นในคุณธรรม ต้องเก่งเรื่องคน และมีทักษะการสื่อความคิดที่ดี เพราะบุคลากรคือทรัพยากรมีค่าที่สุดขององค์กร” นี่คือหลักการในการของ ชาติศิริ โสภณพนิช ที่ได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดีผลของความสำเร็จทำให้ ชาติศิริ โสภณพนิช ได้รับยกย่องจากนิตยสารดิเอเชียนแบงเกอร์ ประเทศสิงคโปร์ให้เป็นผู้นำดีเด่นแห่งปี 2005 ในปี 2548 ได้รับรางวัล Robert H. Goddard Alumni Award จากสถาบัน Worcester Polytechnic Institute หรือ WPI แห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นรางวัลเชิดชูเกียรติศิษย์เก่าของสถาบันที่ประสบความสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับของบุคคลในสาขาวิชาการต่างๆ ทั่วโลก
นอกจากจะดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทยแล้ว ชาติศิริ โสภณพนิช ยังดำรงตำแหน่งกรรมการ บริษัท โพสต์ พับลิชชิง กรรมการ Board of Trustees, Singapore Management University เคยดำ


