การเกิดของวิปัสสนูปกิเลส
ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจนแห่งญาณทัศนะ คือ ความรู้ในอริยมรรค 4 หรือมรรคญาณ (ญาณ 14) นั่นเอง
โดย...จากหนังสือ 90 ปี พระธรรมมังคลาจารย์
ตอนที่แล้วจบที่
ญาณทัสสนวิสุทธิ ความหมดจนแห่งญาณทัศนะ คือ ความรู้ในอริยมรรค 4 หรือมรรคญาณ (ญาณ 14) นั่นเอง จากนั้นจึงเกิดผลญาณ (ญาณ 15) เกิดปัจจเวกขณญาณ (ญาณ 16) ขึ้นพิจารณากิเลสที่มรรคผล พิจารณากิเลสที่ละแล้ว กิเลสที่ยังเหลืออยู่ และพิจารณานิพพาน จากนี้เป็นความต่อเนื่อง
3.วิปัสสนูปกิเลส
ในขณะที่ผู้ปฏิบัติกำลังอยู่ในสัมมสนญาณ (ญาณ 3) หรืออุทยัพพยญาณอย่างอ่อน กิเลสของวิปัสสนา หรือที่เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส จะเกิดขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง ในบรรดาที่มีอยู่ 10 อย่าง (พระธรรมมังคลาจารย์ วิ., 2553:60-62)
1.โอภาส (แสงสว่าง) เห็นแสงสว่างเกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น แสงสว่างอยู่รอบๆ ตัว เป็นดวงเล็กบ้างใหญ่บ้าง หรือเห็นแสงสว่างไปทั่วห้องเหมือนเวลากลางวันบ้าง หรือมีแสงสว่างพุ่งออกมาจากร่างกายของตนเองเหล่านี้เป็นต้น
2.ปีติ (ความอิ่มใจ) มี 5 ประเภท คือ
2.1 ขุททกาปีติ ลักษณะเยือกเย็นขนลุกขนชันไปทั้งตัว ร่างกายมึนตึงหนัก น้ำตาไหล ปรากฏเป็นสีขาว
2.2 ขณิกปีติ มีลักษณะดังนี้ เป็นประกายดังสายฟ้าแลบ ร่างกายแข็ง หัวใจสั่นไหว แสบร้อน ตามตัว คันยุบยิบเหมือนมีแมลงไต่ตอมตามตัว ปรากฏเป็นสีแดงด่าง
2.3 โอกันติกาปีติ มีลักษณะดังนี้ ร่างกายไหวเอน โยกโคลง บางครั้งสั่นระรั่ว สะบัดหน้า สะบัดมือ สะบัดเท้า มีอาการน้ำลายสอในปาก คลื่นไส้อาเจียน เหมือนถูกระลอกคลื่นซัด ปรากฏเป็นสีเหลืองอ่อน สีม่วงอ่อน
2.4 อุเพงคาปีติ มีลักษณะดังนี้ กายสูงขึ้น ตัวเบา ตัวลอย คันเหมือนมีตัวไรไต่ตามหน้าตามตา ท้องเสียลงท้อง สัปหงกไปข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้าง ศีรษะหมุนไปมา อ้าปากบ้าง หุบปากบ้าง งับปากบ้าง กายงุ้มไปข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง กายกระดุกกระดิก ยกแขน ยกเท้า ปรากฏเป็นสีไข่มุก สีนุ่น
2.5 ผรณาปีติ มีลักษณะดังนี้ รู้สึกเย็นเยือกแผ่ซ่านไปทั้งตัว เหมือนกับซึมเศร้า ไม่อยากลืมตา ไม่อยากเคลื่อนไหว ปรากฏเป็นสีคราม สีเขียว สีมรกต
3.ญาณ (ความรู้) มีความรู้สึกเกิดขึ้นว่าตนมีความรู้ปราดเปรื่องหมดจด
4.ปัสสัทธิ (จิตเจตสิกสงบ) มีความรู้สึกสงบเยือกเย็นกายและใจ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระวนกระวาย สงบเงียบ ดุจเข้าผลสมาบัติ
5.สุข (ความสุข) มีความรู้สึกว่าสุข มีความสุขที่สุดตั้งแต่เกิดมา ยินดีเพลิดเพลิน ไม่อยากออกจากการปฏิบัติ อยากพูดอยากบอกผลที่ตนได้รับแก่ผู้อื่น
6.อธิโมกข์ (ศรัทธา) มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และอาจารย์อย่างแรงกล้า อยากให้คนทั้งหลายมาปฏิบัติเช่นตนบ้าง อยากสนองบุญคุณของสำนัก นึกถึงบุญคุณของคนที่พามาปฏิบัติ อยากทำบุญทำทานปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุต่างๆ อยากออกบวช
7.ปัคคาหะ (ความเพียร) ขยันเกินพอดี ตั้งใจจริง ปฏิบัติจริง ยอมสู้ตาย ไม่ท้อถอย
8.อุปัฏฐานะ (สติ) สติมากเกินไป ระลึกนึกแต่เรื่องในอดีตและอนาคต ทิ้งอารมณ์ปัจจุบัน
9.อุเบกขา (ความวางเฉย) มีความรู้สึกวางเฉย ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย หลงๆ ลืมๆ ไม่กระวนกระวาย ใจสงบ ไม่อยากได้ใคร่ดีอะไรทั้งสิ้น อารมณ์ชั่วหรือดีมากระทบก็เฉย แต่ขาดการกำหนด ปล่อยใจให้เลื่อนลอยไปตามอารมณ์ภายนอก
10.นิกันติ (ความใคร่) มีความพอใจในอารมณ์ต่างๆ พอใจในแสงสว่าง พอใจในปีติและสุข พอใจในนิมิตต่างๆ ผู้ปฏิบัติบางคนหลงชื่นชมยินดีในกิเลสต่างๆ เหล่านี้ เพราะกิเลสแต่ละอย่างล้วนทำให้มีความสุขกายสุขใจอย่างอัศจรรย์ และไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ทำให้ผู้ปฏิบัติไม่ปฏิบัติต่อไปตามแนวทางที่ควร แต่อย่างไรก็ดี เมื่อผู้ปฏิบัติรู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเป็นกิเลส หาใช่มรรค ผล นิพพาน หรือของที่น่าชื่นชมยินดีอะไรไม่ ไม่ใช่ทางที่พึงเดิน ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ ก็ปลดปล่อยความหลงผิดนั้นเสีย ไม่นิยมยินดีในกิเลสนั้น เกิดความคิดอันบริสุทธิ์ว่า “...นั่นไม่ใช่ทางที่ทำให้เกิดปัญญาเห็นธรรม” ความบริสุทธิ์เช่นนี้ เรียกว่า “มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ” ในญาณต่อๆ ไปวิปัสสนูปกิเลสอาจเกิดขึ้นอีก แต่ในทางทฤษฎีไม่ถือว่าเป็นกิเลส เพราะปราศจากความใคร่ (นิกันติ) แล้ว แม้จะเกิดมีขึ้น ผู้ปฏิบัติก็ไม่อยากได้ และจะหายไปโดยรวดเร็ว...”
1.อานิสงส์การเจริญวิปัสสนา
แสดงไว้ในสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวรรค (สํ.ม. (ไทย) 19/989/475 และ 19/494/304) ไว้ 4 ประการ คือ
1.มีสติมั่นคงไม่ตายด้วยความหลง
2.ได้เกิดอยู่ในสุคติภูมิ
3.ถ้าอุปนิสัยยังอ่อนอยู่ ก็จะเป็นอุปนิสัยติดขันธสันดานไปในภพหน้า
4.ถ้ามีอุปนิสัยและอินทรีย์แก่กล้า ก็จะทำพระนิพพานให้แจ้งด้วยปัญญา ภายใน 7 วัน หรือ 7 เดือน หรือ 7 ปี พระอรหันต์ หรือพระอนาคามี พึงหวังได้ ดังที่ปรากฏในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ (ม.มู. (ไทย) 1/151/629-630) ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานสี่นี้ อย่างนี้ตลอด 7 ปี เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมีขันธปัญจกเหลือยู่ เป็นอนาคามี 7 ปียกไว้ (อย่าว่าแต่เจริญสติปัฏฐานสี่ 7 ปีเลย) ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานสี่นี้ อย่างนี้ตลอด 6 ปี 5 ปี 3 ปี 2 ปี 1 ปี ... 1 ปียกไว้ (อย่าว่าแต่เจริญสติปัฏฐานสี่ 1 ปีเลย) ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานสี่นี้ อย่างนี้ตลอด 7 เดือน เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่ออุปาทิ (สังโยชน์) มีเหลืออยู่ เป็นอนาคามี 7 เดือนยกไว้ (อย่าว่าแต่เจริญสติปัฏฐานสี่ 1 เดือนเลย) ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานสี่นี้ อย่างนี้ตลอด 7 วัน เขาพึงหวังผล 2 ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่ออุปาทิ (สังโยชน์) มีเหลืออยู่ เป็นอนาคามี”


