จากอธิการบดีถึงนศ.กลุ่มประชาธิปไตย "ธรรมศาสตร์ต้องอยู่ใต้กฎคสช."
"ปรัชญาของเราก็คือนักศึกษามีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ แต่กลุ่มนี้อาจต่างจากกลุ่มอื่นคือ เขาเคลื่อนไหวตรงข้ามกับรัฐบาล สถานการณ์ปัจจุบันนั้นไม่ใช่สถานการณ์ปกติ เป็นสถานการณ์ที่อยู่ใต้กฎของ คสช. และธรรมศาสตร์ ก็ต้องอยู่ใต้สถานการณ์นี้ด้วย"
โดย...สุภชาติ เล็บนาค ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์
กลายเป็นเรื่องร้อนแรงอีกครั้ง หลังเจ้าหน้าที่นำปฏิบัติการ “ตัดขบวนรถไฟ” ของกลุ่ม “ประชาธิปไตยศึกษา” ที่จะเคลื่อนขบวนไปยังอุทยานราชภักดิ์ เพื่อแสดงพลังตรวจสอบการทุจริตและนำตัวแนวร่วมทั้งหมดไปควบคุมตัว ก่อนจะปล่อยภายในวันนั้นเอง
ผลลัพธ์หลังการเคลื่อนไหวของนักศึกษา-ประชาชน มีทั้งเสียงหนุนและเสียงต้าน กลุ่มนักศึกษาอย่างล้นหลาม
อย่างไรก็ตาม ที่นับว่าน่าสนใจที่สุด ก็คือการออกแถลงการณ์ในนาม “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์” ภายใต้ชื่อ “ฝ่ายการนักศึกษา” ตำหนินักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว โดยระบุชัดว่าเป็นการมุ่งทำให้การบริหารราชการแผ่นดินไม่เป็นไปโดยมั่นคงราบรื่น รวมถึง “ปราศจากมุมมองที่รอบด้านในบริบทประเทศไทย”
นอกจากนี้ยังได้เรียกร้องให้นักศึกษาธรรมศาสตร์ที่เคลื่อนไหวดังกล่าวหยุดการจัดกิจกรรมนอกมหาวิทยาลัยที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือกระทบต่อความปลอดภัยของนักศึกษาธรรมศาสตร์และหันมาใช้แนวทางสมานฉันท์อย่างสร้างสรรค์ เพื่อร่วมเสนอแนะทางออกแก่ประเทศชาติ
หลังมหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์ดังกล่าวออกมา ก็ตามมาด้วยวิวาทะทางความคิดระหว่างอาจารย์ ศิษย์เก่า และองค์การนักศึกษา จนถึงขั้นเปลี่ยนป้ายที่อาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จาก “รับใช้ประชาคือ ปลายทางที่เราเล่าเรียน” เป็น “รับใช้ประยุทธ์คือ ปลายทางที่เราเล่าเรียน”
โพสต์ทูเดย์ นัดคุยกับ ศ.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เพื่ออธิบายจุดยืนต่อการเคลื่อนไหวของนักศึกษา ในฐานะผู้บริหารในดินแดนที่ได้ชื่อว่า “มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว”
สมคิด บอกว่า กลุ่มนักศึกษาประชาธิปไตยศึกษา ในมุมมองเขามีฐานะเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองกลุ่มหนึ่ง โดยมีแกนนำคนสำคัญคือ โรม (รังสิมันต์ โรม) อดีตนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ปัจจุบันเรียนปริญญาโทคณะนิติศาสตร์ นิว (สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์) ปัจจุบันเรียนปี 4 ขึ้นปี 5 คณะรัฐศาสตร์ รวมถึงอั้ม (อั้ม เนโกะ) ซึ่งปัจจุบันหนีคดีหมิ่นเบื้องสูงไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสและอาจจะมีคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักอีก แต่ก็มีประมาณ 10 คนเท่านั้น
“เขาเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวปกติ แล้วเขาก็เคลื่อนไหวหลายเรื่อง แต่ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเมือง ซึ่งปรัชญาของเราก็คือนักศึกษามีเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ แต่กลุ่มนี้อาจต่างจากกลุ่มอื่นคือ เขาเคลื่อนไหวตรงข้ามกับรัฐบาล คสช.โดยส่วนใหญ่ แต่มหาวิทยาลัยก็ยังเปิดโอกาสให้เคลื่อนได้ทุกครั้ง”
สมคิด บอกว่า หลังการรัฐประหารของ คสช.มีการประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ ได้พูดคุยกับนักศึกษาแล้วว่า ธรรมศาสตร์ไม่มีข้อยกเว้นต้องอยู่ใต้กฎอัยการศึกเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ หากจะจัดกิจกรรมก็ต้องขออนุญาตจากทหาร
“ผมพูดกับ อาจารย์ปริญญา (ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี) ซึ่งก่อนหน้านี้เขาอยู่ฝ่ายการนักศึกษาว่าเรายังให้นักศึกษาสามารถอภิปรายในมหาวิทยาลัยได้ แต่ถ้าเขาจะจัดข้างนอกก็จะขอให้ อาจารย์ปริญญา เชิญเข้ามาจัดในมหาวิทยาลัย หลักก็เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด” อธิการบดี มธ.ระบุ
เขาบอกอีกว่า โดยปกตินักศึกษามักจะไม่ชอบผู้บริหารมหาวิทยาลัย ซึ่งก็เป็นมาทุกยุค แม้แต่ ศ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นอธิการบดี นักศึกษาก็มีปัญหากับ อาจารย์ป๋วยเป็นประจำ
“เขามองว่าผู้บริหารไม่ใช่พวกเดียวกับเขา ผู้บริหารทำอะไร เขาก็คัดค้าน แต่ในเชิงนโยบาย เราไม่ได้ห้ามปรามเขาหรอก สมมติ เขาจะด่าผม ผมก็ให้ด่านะครับ จะไม่เห็นด้วยกับ คสช. ผมก็ให้ทำ ไม่ได้ห้าม แต่สถานการณ์ปัจจุบันนั้นไม่ใช่สถานการณ์ปกติ เป็นสถานการณ์ที่อยู่ใต้กฎของ คสช. และธรรมศาสตร์ ก็ต้องอยู่ใต้สถานการณ์นี้ด้วย”
เสรีภาพไม่ใช่ทำอะไรก็ได้ ถ้า มธ.ไม่ขัดแย้งเป็นเรื่องผิดปกติ
สมคิด บอกว่า อาจารย์ที่หนุนหลังนักศึกษากลุ่มนี้มาถามเขาเป็นประจำว่าทำไมอธิการบดี ไม่ปกป้องนักศึกษา แต่เขาก็ยืนยันมาตลอดว่าเขาได้ปกป้องทุกครั้ง แต่การจะทำอะไร ก็ต้องอยู่ใต้กฎของ คสช.ด้วย ทั้งนี้ ด้วยหมวกของอธิการบดีไม่สามารถจะไปบอกนักศึกษาได้ว่า “ทำอะไรก็ทำเลย ไม่ต้องไปฟัง คสช.”
“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก แต่ว่าทุกครั้งที่นักศึกษาประท้วงแล้วมีปัญหา เช่น ถูกทหารจับไป ผมก็ส่ง อาจารย์ปริญญา ไปดีลตี 1 ตี 2 อาจารย์ปริญญา ก็จะเอาตัวเองไปประกันตัว นักศึกษาเขาก็โทรหาอาจารย์ปริญญานะ แม้เขาจะรู้สึกว่าไม่ใช่พวกเขา แต่เดี๋ยวนี้เขากลับชมว่า อาจารย์ปริญญา ดีกว่า รองฯ คนปัจจุบัน”
สมคิด ย้ำอีกครั้งว่า มธ.เป็นอย่างนี้มาตลอด ไม่ว่าจะยุค ศ.ป๋วย หรือ ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นอธิการบดี คือธรรมศาสตร์ ต้องมีเสรีภาพในการวิจารณ์เรื่องต่างๆ แต่ผู้บริหารธรรมศาสตร์ไม่เคยเห็นด้วย ถ้าใครจะใช้ธรรมศาสตร์เป็นสถานที่สำหรับเคลื่อนไหวทางการเมือง
“ผมไม่ได้หมายความว่าจะใช้เสรีภาพทำอะไรก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ ถ้าจำได้เมื่อตอนที่ผมออกมาเตือนนิติราษฎร์แล้วผมโดนด่านั้น นิติราษฎร์จัดอภิปรายเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 ก็หลายหน ผมไม่ได้ว่าอะไรเลย หรืออย่างนิวก็เหมือนกัน เขาจัดมาหลายครั้ง ผมก็ไม่เคยว่าอะไรเขาเลย”
“เคสของนิว มีศิษย์เก่าธรรมศาสตร์มาฟ้องผมตลอดเวลาว่า ท่านเป็นอธิการบดีอย่างไร ปล่อยให้เอาธรรมศาสตร์ไปเคลื่อนไหวแบบนี้ คือเขามองว่ามันเลยไปจากการใช้เสรีภาพที่ควรจะเป็น มันกลายเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะเคลื่อนไหวซ้ำๆ ต่อเนื่องในประเด็นเดียวกัน ผมก็เข้าใจว่านี่เป็นเหตุให้ฝ่ายการนักศึกษาต้องออกแถลงการณ์เตือน”
สมคิด ยกตัวอย่าง การทุจริตอุทยาน ราชภักดิ์ ว่ากลุ่มของนิว ได้เลยจากเรื่องการบอกว่า อุทยานมีปัญหาหรือออกแถลงการณ์ว่าจะต้องลงโทษผู้กระทำผิดไปสู่การ “เคลื่อนไหว” คือนั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ ซึ่งก็ต้องตั้งคำถามว่า หากนั่งรถไฟไปอุทยานแล้ว จะสมประโยชน์กับการตรวจสอบทุจริตหรือไม่
“ผมว่าไม่ สิ่งที่กลุ่มนี้ทำคือเคลื่อนไหวทางการเมืองระดมคนต่างๆ ไป อันนี้ผมคิดว่ามันเกินไปนิดหนึ่ง ฝ่ายการนักศึกษาเขาถึงออกมาเตือนว่า ทำแบบนี้มันทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าธรรมศาสตร์เป็นหัวหอกการเคลื่อนไหว เพราะเราถูกว่ามาอีกทีว่าปล่อยให้ทำอย่างนี้ได้อย่างไร ในขณะที่ประเทศกำลังปรองดองกันอยู่” สมคิด อธิบาย
อธิการบดี มธ. บอกอีกว่า เป็นสิทธิของ ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษา ที่จะเตือนนักศึกษาและอธิบายว่า รองอธิการบดีคงเห็นว่าเตือนด้วยวาจาแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น จึงใช้โอกาสนี้เตือนเป็นแถลงการณ์
“แถลงการณ์จะทำให้สังคมเข้าใจธรรมศาสตร์มากขึ้น คือ ถ้าเกิดไปเตือนกันสองคน หรือเรียกมาเตือน คนเขาอาจจะบอกว่าธรรมศาสตร์ไม่ทำอะไรเลย ซึ่งผมก็รู้ว่า อาจารย์ชาลี ออกแถลงการณ์ไปมีปัญหาแน่ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรเพราะนิวเขาก็เคลื่อนไหวต่ออยู่แน่ แล้วเราก็ห้ามเขาไม่ได้ด้วย ในแถลงการณ์ก็ไม่ได้ห้าม ทหารห้ามเขายังไม่ได้เลย มหาวิทยาลัยจะไปห้ามเขาได้อย่างไร” อธิการบดีระบุ
ถามว่ามีการออกแถลงการณ์ แล้วมีอาจารย์ธรรมศาสตร์ออกมาค้าน คนอาจจะมองว่า มธ.ขัดแย้งได้? สมคิด ตอบทันทีว่า เป็นเพราะอาจารย์กลุ่มนี้เองอยู่กับนักศึกษากลุ่มนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ประจักษ์ (ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์) อาจารย์ยุกติ (ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาฯ มธ.) ก็ปกติ เพราะทุกคนทำงานกับนิวและโรมอย่างต่อเนื่อง หากนักศึกษาถูกจับก็จะออกแถลงการณ์คัดค้านทันที ไม่ใช่เรื่องขัดแย้งอะไร
“ความจริงคนที่สนับสนุนแถลงการณ์ของฝ่ายการนักศึกษาก็มีเยอะ แต่เขาไม่ได้ออกมา เขาก็เป็นอาจารย์กลุ่มหนึ่ง ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถ้าธรรมศาสตร์ไม่มีความขัดแย้งสิเรื่องผิดปกติ” สมคิด ระบุ
อธิการบดีธรรมศาสตร์ ยืนยันว่า ในสถานการณ์อย่างนี้ไม่มีใครพอใจการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ทั้งการพูด การเขียน ซึ่งถ้าหากเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้พูดบ้าง ก็คงไม่มีการแสดงออกอะไรขนาดนี้
“แต่ถ้ามองในเชิงความมั่นคง เขาก็อาจจะมองว่า อยากให้ประเทศสงบสักพักหนึ่งจะได้ตั้งต้นกันใหม่ พอนักศึกษากลุ่มนี้มาป่วน เขาก็รู้สึกไม่ดีกับนักศึกษาเหมือนกัน”
"จ่านิว" เคลื่อนไหวในนามมหา’ลัย เชื่ออนาคตลงสมัคร สส.
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองสมคิดเห็นว่า ทหารไม่ได้ทำอะไรเลยเถิด ยกตัวอย่างเช่น นักศึกษาจะไปอุทยานราชภักดิ์ ทหารก็ควบคุมตัวเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ปล่อย แต่ถ้าหากจับไปค้างคืน เขาก็จะเป็นห่วงมาก แต่ก็เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก
“มันมองได้สองมุม ทหารเขาอาจมองว่าขนาดจำกัดยังทำขนาดนี้เลย ถ้าไม่จำกัดจะมากกว่านี้มั้ย แต่ถ้าถามผม ผมอยากเปิดให้คนในมหาวิทยาลัยหน่อยว่าต้องวิพากษ์วิจารณ์บ้าง จริงๆ เขาไม่ได้วิจารณ์ คสช.เท่านั้นนะ ในยุคประชาธิปไตยเขาก็วิจารณ์ เช่น ทหารตั้งงบประมาณสูง ยุคอภิสิทธิ์ ยุคปู เขาก็วิจารณ์ หรือถ้าทหารใช้อำนาจมากไป เขาก็วิจารณ์ทั้งนั้น แล้วเขาไม่ได้วิจารณ์แค่ทหาร เขาด่าอธิการบดีเป็นประจำ”
แม้สมคิดจะรับตำแหน่ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในยุค คสช. หรือถูกมองว่าเข้าข้างรัฐบาลชุดนี้ แต่สมคิดยืนยันว่า เขาไม่เคยเปิดโอกาสให้ “ทหาร” เข้ามาใช้พื้นที่ มธ. เพื่อควบคุมการจัดกิจกรรมหรือห้ามปรามการเคลื่อนไหวภายในธรรมศาสตร์เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ด้วยประกาศ คสช. เขาไม่สามารถห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้ามาได้
สมคิด บอกอีกว่า หากนิวประกาศเคลื่อนไหวในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับธรรมศาสตร์ เขาก็ไม่จำเป็นต้องออกแถลงการณ์ แต่ปัญหาคือคนมักจะคิดว่า นิวเคลื่อนไหวโดยใช้ชื่อธรรมศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง เลยจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจ อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ที่ออกมาไม่เคยห้ามนิวให้เคลื่อนไหวต่อ หรือห้ามนิว ไม่ให้ไปอุทยานราชภักดิ์อีก
“ผมไม่ใช่ กปปส. ผมไม่ใช่พวก คสช. ถ้าผมเป็นพวก คสช. ผมไม่ให้คนไปประกันตัวนักศึกษาหรอก ผมจะไม่ให้เขาจัดงานในธรรมศาสตร์ด้วยซ้ำ แล้วแถลงการณ์จะต้องแรงกว่านี้เยอะ แต่นิวต้องเข้าใจว่าผมเป็นอธิการบดี แล้วผมโดนต่อว่าตลอด”
สมคิด แนะนำไปยังนักศึกษาที่ชื่อนิวว่า หากเคลื่อนไหวแล้ว วันนี้หรือพรุ่งนี้เปลี่ยนสังคมได้เลยก็ควรทำ แต่ถ้ายังเปลี่ยนไม่ได้ ก็ควรรอจังหวะที่เหมาะสม
“ทหารเขาไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่เขากลัวคนอื่นจะเข้ามาเสริม เหมือนห้ามพรรคประชาธิปัตย์ประชุมพรรค เพราะถ้าให้ประชาธิปัตย์ พรรคอื่นก็ต้องประชุมได้บ้าง ของนิวก็เหมือนกัน”
“ถ้ามีคนมาถามผมว่า นิวมีเบื้องหลังไหม ผมก็จะบอกว่าไม่มี นิวก็ทำอย่างนี้ของเขา เขาเป็นนักศึกษาที่ชอบแนวนี้ แล้วผมก็คิดว่าในอนาคต เขาลงการเมือง ไปเป็น สส. สว. แน่นอน เพราะเขาชอบแบบนี้ เขาชอบเป็นแนวหน้า” สมคิด ระบุ
สัมพันธ์ "สมศักดิ์ เจียม" 40 ปี ผมไม่อยากทำร้ายเพื่อน
หนึ่งในข้อหาที่ทำให้สมคิดถูกมองว่าเลือกข้าง ก็คือการลงนามในคำสั่ง “ไล่ออก” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในข้อหาขาดราชการ หลัง สมศักดิ์หลบหนีการรายงานตัวต่อ คสช. ไปต่างประเทศ หลังเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปีที่ผ่านมา
“อาจารย์สมศักดิ์ แกขาดราชการ 200 กว่าวัน ซึ่งตามระเบียบราชการคือขาดราชการ 15 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรก็ต้องถูกไล่ออกจากราชการ เพราะมันมีมติ ครม.ล็อกไว้เลยว่า ถ้าเกิน 15 วัน ต้องถูกไล่ออกเท่านั้น”
สมคิด บอกว่า สิ่งที่สมศักดิ์สู้ก็คือบอกว่ามีเหตุผลอันสมควร คือ หนีรัฐประหาร เมื่อธรรมศาสตร์มีคำสั่งให้ สมศักดิ์ ออกจากราชการ สมศักดิ์จึงได้ไปร้องคณะกรรมการอุทธรณ์ร้องทุกข์ของสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) แต่คณะกรรมการอุทธรณ์ก็เห็นด้วยว่าธรรมศาสตร์ทำถูกต้องแล้ว
“แต่อาจารย์สมศักดิ์ ยังสู้ได้ ผมก็ฝากหลายคนไปบอกอาจารย์สมศักดิ์ ว่าผมไม่มีอำนาจไปลดหย่อนผ่อนโทษให้แต่คนที่มีอำนาจคือศาลเป็นคนที่จะทำได้ และผมก็เห็นด้วยที่อาจารย์สมศักดิ์ ไปยื่นฟ้องศาลปกครอง”
สมคิด บอกว่า หากพูดในแนวพิพากษาของศาล ศาลจะต้องบอกว่าไม่มีเหตุผลอันสมควร แต่ไม่แน่ ศาลปกครองอาจจะเปลี่ยนแนวคำวินิจฉัยว่าการรัฐประหารทำให้เกิดปัญหาจริง และการไปของอาจารย์สมศักดิ์มีเหตุผลก็ได้
“ผมรู้จักสมศักดิ์มา 30-40 ปี สมศักดิ์เป็นรุ่นพี่ เขารุ่น 19 ผมรุ่น 21 ห่างกันสองปี ก็สนิทกัน แล้วก็คุยกันพอสมควร ผมบอกตรงนี้เลยว่า ผมไม่อยากทำหรอกครับ ไม่มีใครหรอกครับที่อยากไล่อาจารย์ออก หรืออยากทำร้ายเพื่อน นี่พูดในฐานะคนรู้จักกันมานาน แต่ถ้าผมไม่ได้เป็นอธิการบดี ผมก็ไม่ต้องทำ”สมคิด บอกกับเรา
“ตอนที่เกิดรัฐประหารขึ้น ผมก็สื่อสารผ่านคนอื่นไปบอกรุ่น อาจารย์สมศักดิ์ เช่น ผ่าน อาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ผ่านคณบดีคณะศิลปศาสตร์ที่ อาจารย์สมศักดิ์สอนอยู่ ผมก็บอกว่าทางที่ดีที่สุดคือสมศักดิ์ต้องลาออก แต่แกหายไป โดยไม่มีใครรู้ แกคงไม่ทันได้ระมัดระวังเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าแกทำตามนี้ ผมก็อนุมัติ แต่เมื่อแกขาดราชการไป 200 กว่าวันแล้ว แล้วแกมาขอลาออก ผมทำไม่ได้อยู่แล้ว แล้วต่อให้เป็นอธิการบดีคนอื่น ก็ต้องทำแบบนี้ ผมไม่สามารถทำอย่างอื่นได้เลย”
ทหารต้องเคลียร์ "ราชภักดิ์"
แม้จะไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของนักศึกษา อย่างการนั่งรถไฟไปยังอุทยานราชภักดิ์ แต่สมคิดบอกกับเราว่า รัฐบาลจะต้องชัดเจนกว่านี้ ในการตอบคำถามกับสังคม ว่ามีการทุจริตในการจัดสร้างอุทยานราชภักดิ์หรือไม่ และใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลประกาศว่าตัวเองเป็นรัฐบาลที่ตรงข้ามกับการทุจริต ก็ต้องทำเรื่องนี้ให้โปร่งใส
ถามว่าต้องรับผิดชอบมากน้อยขนาดไหน? สมคิด บอกว่า ก่อนที่จะมีความรับผิดชอบทางการเมือง ต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย คือหาคนผิดให้ได้ในเบื้องต้น หรือถ้าไม่มีการทุจริต แต่มีความ "ผิดพลาด" เกิดขึ้น ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบและสายการบังคับบัญชาจะไปถึงไหนบ้าง
"ผมเองซึ่งเชียร์โครงการนี้ว่าเป็นโครงการที่ดี กำลังบอกรัฐบาลว่าต้องเคลียร์ให้ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ชัด คนเขาก็สงสัย วันนี้คนที่อยากช่วยรัฐบาลอธิบายกับคนอื่นก็ยังอธิบายไม่ได้เลย เพราะไม่มีข้อมูลว่าจัดซื้อจัดจ้างอย่างไร ค่าหัวคิวเป็นอย่างไร ในทางการเมือง รัฐบาลต้องทำมากกว่านี้ เพื่อให้คนเข้าใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร"
"แล้วต้องเข้าใจด้วยว่าคนที่ต่อต้านการทุจริต ไม่ได้หมายความว่าคัดค้านอุทยานราชภักดิ์ ผมเชื่อว่าทุกคนเห็นด้วยหมดเลยว่าอุทยานนี้ดี เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน เป็นการยกย่องบูรพกษัตริย์ สร้างประวัติศาสตร์ประเทศ ให้คนได้ซึมซับ"
"แต่ผมอยากให้รัฐบาลเคลียร์เรื่องนี้ซะ จะด้วยกระบวนการสอบสวน หรือกระบวนการใดก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญคือรัฐบาลต้องบอกประชาชนให้ได้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ถ้าเคลียร์ไม่ได้รัฐบาลก็มีปัญหา สุดท้ายก็จะซ้ำเติมทั้งปัญหาเศรษฐกิจ การเมืองต่างๆ ต่อไป"
รัฐบาลอย่าช้า เร่งนิรโทษกรรมปลายซอย
การเมืองไทยยังเป็นเรื่องให้ต้องเกาะติดต่อจากนี้ ว่าบ้านเมืองจะมีทิศทางเป็นเช่นไรต่อไป ศ.สมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. กะเทาะเปลือกบางส่วนที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ได้ทำแบบสะเด็ดน้ำ โดยเฉพาะความขัดแย้ง 2 กลุ่ม ระหว่างเหลือง-แดง
สมคิด ระบุว่า ถ้ามีการเลือกตั้งวันนี้หรือปี 2560 ก็เหมือนเดิม คือ ปลุกม็อบ ไล่เช็กบิล ไร้กฎกติกา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หวังรัฐธรรมนูญมาแก้ปัญหาเรื่องนี้มันไม่ได้ เพราะทุกวันนี้พรรคการเมืองสองพรรคพร้อมลงเลือกตั้ง และไม่ได้ปรองดองอะไรทั้งสิ้น ซึ่งคิดว่ารัฐบาลทำเรื่องนี้น้อยในสายตา ส่วนจะแก้อย่างไรไม่ทราบได้เพราะไม่ใช่นายกฯ
“ต้องยอมรับว่าการชุมนุมก่อนปี 2557 มีคนตาย ทั้งที่อยู่ในรัฐบาลประชาธิปไตย และไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด และเชื่อว่าเลือกตั้งสองม็อบกลับมา อยู่ที่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล และเป็นเรื่องปกติไม่มีใครยอมใคร”
สมคิด ขยายความสาเหตุรัฐธรรมนูญแก้ปัญหาความขัดแย้งไม่ได้อย่างยั่งยืน เพราะรัฐธรรมนูญไม่สามารถแก้ความคิดคนได้ แก้ได้เพียงปัญหาโครงสร้างทางการเมืองเท่านั้น ถ้าแก้ความคิดคนต้องใช้เวลา ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศไทยมี 2 อย่าง คือ ซ้ายกับขวา เช่น เหตุการณ์ปี 2508 เสียงปืนลั่นครั้งแรกวันที่ 7 ส.ค. มาสิ้นสุดได้ในรัฐบาลสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ใช้เวลา 10 กว่าปี ถึงแก้ได้
“ผมคิดว่ามีความจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่าง และเห็นด้วยกับแนวคิด อาจารย์เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ในเรื่องการนิรโทษกรรม ผมเคยพูดปลายปี 2557 นายกฯ ควรมีของขวัญปีใหม่ให้คนไทยด้วยการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวันที่ 1 ม.ค. 2558 แต่ยังไม่ทำจนจะสิ้นปี ซึ่งรัฐบาลอาจไม่เห็นด้วย เพราะมีมุมมองอีกแบบ
...ผมคิดว่าการนิรโทษกรรมจำเป็น เพราะท้ายสุดเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำเรื่องนี้ เพื่อให้คนกลับมา คนยังติดคดีต้องขึ้นศาล ไม่มีทางที่จะทำให้กลับมาเกิดความปรองดองได้ แต่การนิรโทษกรรมต้องไม่สุดซอย ต้องนิรโทษกรรมเฉพาะกลุ่มผู้ชุมนุม ยกเว้นแกนนำก็ว่าไปตามคดี และถ้าถามว่ามาทำตอนนี้ มันช้าไปควรจะดำเนินการให้เร็วกว่านี้”
สมคิด ยอมรับว่า สาเหตุที่ไม่ร่วมร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เพราะทำมาแล้ว 2 ฉบับ ไม่มีความคิดอะไรใหม่แล้ว ควรเปิดโอกาสให้คนใหม่ๆ เข้ามา และด้วยที่เป็นอธิการบดีต้องใช้เวลามาก และที่ไม่พูดหรือพูดน้อย คือ รัฐธรรมนูญปี 2558 จะร่างยากมาก เพราะสมัยที่ร่างปี 2540 ไม่มีความขัดแย้งทางการเมืองเหมือนตอนนี้ ขณะที่ร่างปี 2550 มีบ้างแต่น้อย
อย่างไรก็ตาม การร่างรัฐธรรมนูญปี 2558 ยากกว่าเพราะว่าไม่ใช่มีแค่เหลือง แดง แต่มีทหารและคนเกี่ยวข้องมากขึ้น จะเขียนให้เกิดความพอใจต่อทุกกลุ่มมันยากมากๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญทำให้คนร่างทำงานยากมาก ซึ่งอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานกรรมาธิการยกร่างฯ พยายามทำแล้วแต่ล้มเหลว ส่วน มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ก็พยายามทำ แต่ร่างของอาจารย์มีชัย โดยหลักๆ ประชาชนไม่ค่อยสนใจเรื่องสิทธิเสรีภาพ
สมคิด ระบุว่า การร่างรัฐธรรมนูญคนจะสนใจ 3-4 เรื่อง 1.ที่มานายกฯ 2.ที่มา สส.และ สว. และ 3.คปป. และถ้าเอาร่างของอาจารย์มีชัยมากาง ก็ไม่ต่างจากร่างของอาจารย์บวรศักดิ์ คือ หนึ่ง นายกฯ มาจากคนนอกได้ สส.มีปารตี้ลิสต์ผสมเขต สว.มาจากสรรหา หรือเลือกกันเองอะไรก็แล้วแต่ ความจริงต่างกันในรายละเอียด แต่คนมองว่าต้องมาจากการเลือกตั้ง คปป.น่าจะมี แต่จะอยู่ในรูปอะไรก็แล้วแต่ เช่น ศาล หรือกรรมการ ซึ่งก็มีคนเป็นห่วงในเรื่องนี้ กลัวว่ารัฐธรรมนูญไม่ผ่านเพราะคนไม่เห็นด้วย
“การที่รัฐธรรมนูญจะผ่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหาอย่างเดียว ขึ้นกับภาพรวมด้วย เช่น เศรษฐกิจดีหรือไม่ มีการนิรโทษกรรมหรือไม่ พรรคการเมืองอึดอัดมากไปแล้วอยากเลือกตั้งหรือไม่ ปัจจัยเมืองไทยมันมีมากกว่าเนื้อรัฐธรรมนูญแท้ๆ คนไปลงประชามติลงโดยมีอะไรอยู่ในความคิดตัวเอง มากกว่าเนื้อหาจะเป็นอย่างไร”
สมคิด อธิบายว่า ทั้งหมดที่มานายกฯ สส. สว. และ คปป. สะท้อนให้เห็นว่าความขัดแย้งยังไม่ยุติลง คนร่างและคนถืออำนาจรัฏฐาธิปัตย์ ต้องมีช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านอีกสักระยะตามรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ไม่ใช่ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว และตามรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ทุกคนต้องมาเล่นกติกาประชาธิปไตยไม่เว้นแม้แต่ทหาร
อธิการบดี มธ. ยอมรับว่า เลือกตั้งไม่ใช่วิธีดีที่สุด ยกตัวอย่างปี 2540 รัฐธรรมนูญให้มี สว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 2 ชุด และพบว่าล้มเหลว ดีในเชิงที่มา ล้มเหลวในเชิงปฏิบัติ แต่ สว.ทำงานได้ดี คือปี 2550 ผสมระหว่างเลือกตั้งและสรรหา ถ้าอ่านข่าวๆ เก่าตั้งแต่ปี 2540-2557 จะพบว่า สว. 2 ชุดในปี 2540 โดนด่ามาก เพราะทำหน้าที่เข้าข้างรัฐบาลตลอด และเมื่อดูตั้งแต่ 2550 เป็นต้นมา ทำงานได้ดีไม่ค่อยมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่คนไปวิจารณ์เรื่องลูกผสม แต่ไม่ได้วิจารณ์ว่าทำงานดีหรือไม่
“เราไปศึกษาแต่ละประเทศในโลก เช่น อังกฤษ ต้นแบบประชาธิปไตย สว.ทั้งหมดมาจากการแต่งตั้ง อังกฤษไม่ได้ดูที่มา แต่ดูเนื้อหาทำงานและเป็นที่ยอมรับประชาชนหรือไม่ ที่มาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราไปเคยชินกับระบบอเมริกาและยุโรป คือ เลือกตั้ง แต่อีกหลายประเทศไม่ได้ทำแบบนั้น แต่มี สว.ทำงานได้ดีพอสมควร แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไม่สนับสนุนการเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบทุกประเภท”
ทั้งนี้ การสรรหาคนดีไม่ใช่เรื่องผิด จะมองว่าเป็นเครือข่ายก็ปกติเลือกตั้งก็ต้องใช้เครือข่าย แต่เป็นเครือข่ายคนละแบบกับระบบสรรหา ถามว่าควรหาคนดีหรือไม่ซึ่งเป็นวาทะกรรม คือ ให้ประชาชนเป็นคนเลือกจะดีไม่ดีประชาชนรับผิดชอบ แต่คิดว่าเป็นปรัชญาสองด้าน แต่ส่วนตัวมองว่ายังต้องหาคนดีให้ได้
วกกลับมาที่การทำงาน 1 ปี ของรัฐบาลที่ผ่านมา หากถามว่าเสียของหรือไม่ สมคิด ระบุว่า เคยพูดว่าการรัฐประหารเมื่อทำแล้ว ตั้งใจพัฒนาและต้องวางรากฐานประเทศไม่ควรอยู่นาน เพราะจากการศึกษา การรัฐประหารหากอยู่นานก็ถูกคัดค้านโดยสภาพ ถามว่า 1 ปีกว่า คสช.ทำอะไรบ้าง เอาตามความรู้สึกและเข้าใจของตัวเอง 1.อย่างน้อยความขัดแย้งในสังคมไทยลดลง ตั้งแต่ปี 2557 ที่ขัดแย้งกันรุนแรง มีการฆ่ากัน ยิงระเบิด ตายหลายคน
2.มาแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีความพยายามแก้ไขปัญหาที่ซุกใต้พรม เช่น การบิน ประมง และอีกหลายปัญหา แต่อันหนึ่งที่เป็นรูปธรรมและทุกคนชอบแม้ไม่ใช่นโยบายใหญ่โต คือ ควบคุมราคาจำหน่ายหวยไม่เกิน 80 บาท ถือเป็นผลงานใหญ่ของรัฐบาลและคนไทยชอบมาก แต่ไม่ใช่นโยบายสำคัญของการพัฒนาประเทศ
“ผมเห็นความจริงใจที่พยายามทำเรื่องพวกนี้ แต่เราต้องเข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ได้ทันทั้งหมดในเวลาปีกว่าๆ เมื่อเทียบให้เกิดความเป็นธรรมกับ คสช. ผมเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มา 4 ปี ผมพยายามทำ 3-4 เรื่อง ทำให้ธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยวิจัย เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อประชาชน เป็นอินเตอร์ ถามว่า 4 ปีที่ผ่านมา ผมทำได้พอสมควร แต่ใช้ 4 ปี ไม่ใช่ปีเดียว”
ฉะนั้นไม่ได้หมายความว่าจะเชียร์ให้อยู่ยาว แต่การแก้ปัญหาจริงๆ ต้องใช้เวลา ถ้าเอาตามโรดแมปกลางปี 2560 เชื่อว่าหลายอย่างจะดีขึ้น แต่ไม่มีทางแก้ปัญหาขนาดใหญ่ของประเทศได้ทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้น เพราะมีปัจจัยต่างๆ พอสมควรที่ไม่สามารถทำให้เสร็จได้ 100%
อย่างไรก็ดี แม้ส่วนตัวทำงานใน สนช. กฎหมายมี 100 กว่าฉบับ และดีเป็นจำนวนมาก เช่น สื่อลามกเด็ก วันสต็อปเซอร์วิส ทารุณกรรมในสัตว์ และกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำงานและแก้ปัญหาเรื่องประมง อากาศยาน และต่างๆ ซึ่งคิดว่าทางนิติบัญญัติทำได้ดีมากในสายตาไม่ใช่เพราะเป็น สนช. แต่ดูจากผลงานโดยรวมทำได้มาก และเป็นเรื่องปกติในยามมีสภาเดียวไม่มีฝ่ายค้านและรัฐบาลในสภา กฎหมายก็ออกได้เยอะ
ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ สมคิดมองว่า มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่เศรษฐกิจโลก ไม่ใช่ในประเทศ ซึ่งคิดว่ารัฐบาลมาถูกทาง พยายามแก้ปัญหารณรงค์ทำเรื่องนั้นจริงจัง แต่จำเป็นต้องมีเวลาเพื่อแสดงผลงานให้เห็นเป็นรูปธรรมในทุกเรื่อง เพราะที่ผ่านมาปัญหามันหมักหมม เช่น ประมง การบิน และอื่นๆ อีกต้องใช้เวลา ไม่มีทางใช้เวลาแก้ปัญหาได้รวดเร็ว
“ผมไม่มีอะไรฝาก คสช.เพราะรู้ว่าเหนื่อยเยอะ แต่ประชาชนคนไทยตั้งความหวังว่าการรัฐประหารครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายและนำประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และให้กำลังใจในการฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ โดยเห็นความตั้งใจจริงว่าพยายามแก้ปัญหาเหล่านี้ และหวังว่าแก้ได้เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย แม้จะเป็นบางเรื่อง แต่ คสช.ก็ไม่ควรอยู่ยาวไม่ว่าตำแหน่งไหนทั้งนั้น เพราะไม่เป็นผลดี ถ้าตั้งเป้าไว้กลางปี 2560 ก็ควรไป แต่ถ้าจะแปลงร่างเป็นอย่างอื่นหรือไม่ ไม่รู้ แต่ถ้าทำตามรัฐธรรมนูญเปิดโอกาสให้ทุกคนทำได้ ก็ถือว่าเขาทำได้ตามรัฐธรรมนูญที่ต้องผ่านประชามติ”


