จาก เย ธมฺมาฯ ถึงทวาราวดียุคดิจิทัล
วันก่อนเพิ่งจะมีบุญวาสนาได้ไปกราบพระปฐมเจดีย์เป็นครั้งแรกในชีวิต ทั้งๆ ที่ใกล้แค่ปลายจมูกแค่นี้
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
วันก่อนเพิ่งจะมีบุญวาสนาได้ไปกราบพระปฐมเจดีย์เป็นครั้งแรกในชีวิต ทั้งๆ ที่ใกล้แค่ปลายจมูกแค่นี้
พระปฐมเจดีย์กับเมืองนครปฐม มีของเก่าแก่โบราณมากมาย นัยว่าเป็นเมืองเอกของทวาราวดี ยุคนั้นนิยมสร้างวงล้อพระธรรมจักรตั้งบนเสาสูง บนธรรมจักรนิยมสลักพระบาลีเป็นข้อความจากธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และคาถา เย ธมฺมาฯ พร้อมทั้งหลักปฏิจจสมุปบาท ทั้งหมดนี้เรียกว่า หัวใจพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะคาถา เย ธมฺมาฯ เพราะประกาศในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนสั่งโดยตรง คือ
เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา (ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ)
เตสํ เหตุํ ตถาคโต (พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น)
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ (และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น)
เอวํวาทีมหาสมโณ. (พระมหาสมณะมีปกติทรงสั่งสอนอย่างนี้)
ทั้งเมืองนครปฐมขุดพบจารึกคาถา เย ธมฺมาฯ มากมาย แม้แต่ด้านหลังพระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ ก็ยังมีจารึกคาถานี้เป็นของทำขึ้นใหม่ แต่เท่ากับสืบสานธรรมเนียมเก่าแก่ที่น่าจะหายไปเมื่อครั้งสมัยอยุธยา (ใหม่สุดน่าจะพบที่จารึกบนรอยพระพุทธบาทวัดชมภูเวกสมัยอยุธยาตอนกลางเป็นอย่างช้า) ได้มาไหว้พระธมจึงเหมือนมาไหว้พระมหาธาตุและหัวใจพระศาสนาในเวลาเดียวกัน
คำถามก็คือทำไมคนทวาราวดี ต้องสร้างจารึกคาถา เย ธมฺมาฯ? เข้าใจว่าส่วนหนึ่งน่าจะเกี่ยวกับการใช้เมืองท่าเป็นการประกาศพระศาสนา (แต่เดิมนครปฐมติดทะเล) หากเป็นจริงแสดงว่าคนยุคนั้นจิตใจละเอียดกว่าคนยุคนี้มาก เพราะแค่บอกว่า “พระพุทธเจ้าสอนเรื่องเหตุ (แห่งการเวียนว่ายตายเกิด) และการดับเหตุ” เพียงเท่านี้ก็เข้าใจกันแล้ว เช่นเดียวกับพระสารีบุตรที่ได้ยินพระอัสสชิกล่าวคาถานี้ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมในบัดดล แสดงว่าคนยุคพุทธกาล หรือหลังพุทธกาลไม่นาน มีบุญวาสนา มีความละเอียดสูง
สมัยนี้ แค่พูดเรื่องพื้นฐานทำบุญทำทานนอกจากจะไม่เข้าใจแล้ว ยังเย้ยหยันว่าเป็นการกระทำของคนเขลาเสียอีก
แต่คาถา “เย ธมฺมาฯ” น่าจะมีนัยมากกว่าการประกาศพระศาสนา คาถานี้ทางฝ่ายเถรวาทไม่มีชื่อ แต่ฝ่ายมหายานเรียกว่า ประตีตยะสะมุตปาทคาถา (หรือปฏิจจสมุปบาทคาถา) ที่เรียกเช่นนี้ เพราะเป็นคาถาที่สรุปเรื่องเหตุแห่งการเกิดดับ เช่นเดียวกับหลักปฏิจจสมุปบาท
ฝ่ายมหายานมีพระสูตรสอนว่า “ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นพระตถาคต” และว่า “คาถานี้แสดงถึงพุทธธรรมกาย... หากผู้ใดเข้าใจคาถานี้ เท่ากับผู้นั้นเห็นตถาคตแล้ว”
คาถา เย ธมฺมาฯ จึงมีความหมายเท่ากับพระวรกายของพระพุทธองค์ เป็น “ธรรมธาตุ” ที่ใช้แทนที่พระบรมสารีริกธาตุได้เรียกว่า “ธรรมสรีระ” ชาวชมพูทวีปยุคคุปตะ-ปาละ สร้างเจดีย์ หาไม่มีพระธาตุจากพระวรกาย ก็จะใช้พระธรรมธาตุบรรจุในเจดีย์ด้วยมีศักดิ์เสมอกัน ดังนั้น เราจึงพบจารึกคาถา เย ธมฺมาฯ มากมาย เช่น ท่านชัยเสน คณาจารย์ฝ่ายมหายานแห่งแคว้นมคธ สร้างสถูปธรรมสรีระถึง 7 โกฏิองค์ ในช่วงเวลา 30 ปี ตามบันทึกของพระถังซำจั๋ง
ดังนั้น หากเราเข้าใจความหมายของคาถา เย ธมฺมาฯ ก็เท่ากับเราเข้าถึงพุทธธรรม ราวกับได้กราบพระพุทธองค์ที่ตรงหน้านั้นเทียว
ในฝ่ายวัชรยาน คาถา เย ธมฺมาฯ ยังมีคุณประโยชน์อีกประการในการปลุกเสก เรียกว่า “ประตีตยะสะมุตปาทธารณี” (ปฏิจจสมุปบาทธารณี) หากจะสร้างสถูปให้กล่าวคาถานี้ 21 ครั้ง แม้นสถูปก่อด้วยดินทรายก็เท่ากับมีพระสถูปสถิตอยู่ในอณูดินทรายนั้นทุกเม็ดไป และยังกล่าวว่า หากพุทธบริษัทขัดสนทรัพย์สินแต่มีจิตศรัทธา แม้นสร้างสถูปขึ้นแม้จะเล็กเพียงใดก็ตาม จะเท่าเม็ดพุทราก็ดี เท่าปลายเข็มก็ดี แล้วบรรจุคาถา เย ธมฺมาฯ ไว้ จะได้อานิสงส์มหาศาล
คณาจารย์วัชรยานบางท่านแนะนำว่า แม้ไม่มีบรรพชิต หากคิดจะปลุกเสก หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ด้วยตัวเอง ให้กล่าวคาถา เย ธมฺมาฯ ก็เท่ากับมีบรรพชิตสถิตในงานมงคลด้วย
ปัจจุบันทางทิเบตก็ยังสืบทอดธรรมเนียมนี้ แต่น่าคิดว่าหลังจากยุคทวาราวดีไม่พบการจารึกคาถา เย ธมฺมาฯ อีก หรือมีก็น้อยมาก ราวกับว่าธรรมเนียมนิยมเกี่ยวกับคาถานี้สูญสิ้นไปพร้อมกับอาณาจักรทวาราวดี
แท้จริงแล้วทวาราวดียังไม่ได้สิ้นสูญ แต่สืบทอดมาถึงยุคกรุงเทพฯ ตามตำนานมอญและประวัติศาสตร์ฝั่งพม่า ระบุว่า ทวาราวดีเคยเป็นเมืองฝั่งตะวันออกของอาณาจักรสุวรรณภูมิ ส่วนฝั่งตะวันตกคือเมืองสุธรรมวดี หรือเมืองสเทิม ในรัฐมอญของประเทศเมียนมาในปัจจุบัน ต่อมาเมืองทวาราวดีถูกอาณาจักรกัมโพชกลืนเป็นขอบขัณฑสีมาอยู่พักหนึ่ง กระทั่งปลดปล่อยตัวเองแล้วเข้าสู่ยุคอาณาจักรอโยธยา
ยุคอโยธยานี่เองที่มีการนำสร้อยชื่อทวาราวดีมาใช้ กล่าวคือ กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยาศรีรามเทพนคร เมื่อสิ้นอโยธยาเข้าสุ่ยุคกรุงเทพฯ ของเราก็ยังมีการใช้ชื่อ กรุงเทพทวาราวดีกันอยู่
พูดง่ายๆ กรุงเทพฯ ก็คือทวาราวดี และทวาราวดีก็คือกรุงเทพฯ เช่นเดียวกับอยุธยา
แม้นชื่อไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือศาสนา และคุณสมบัติของศาสนิกชน
ในยุคทวาราวดีผู้คนคงบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เพียงแค่ประกาศคำว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ” ก็ไม่ยากที่ผู้คนจะเข้าถึงธรรม แต่มุขวันนี้ เรามีเทคโนโลยีล้ำหน้า มีพระไตรปิฎกเกือบทุกฉบับในรูปแบบดิจิทัล มีการประกาศธรรมะในแนวทางที่หลากหลาย เข้าถึงทุกกลุ่มผู้คน แต่ดูเหมือนว่าเราจะห่างจากธรรมะเข้าไปทุกที และเข้าถึงธรรมะยากขึ้นทุกที
ธรรมะไม่ใช่เรื่องซับซ้อนมากกว่าการเข้าถึง “ธรรมดา” คำว่า ธรรมะและคำว่าธรรมดาคือไวพจน์ของกันและกันนั่นเอง
การที่พระอัสสชิท่านกล่าวว่า “ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น...” นี่ไม่ใช่ถ้อยคำที่ยากลำบากเกินจะเข้าใจ
แต่กลับยากแสนยากที่จะเข้าถึง ในยุคทวาราวดีดิจิทัล


