นโยบาย นพ.โสภณ เมฆธน ยุติขัดแย้งเดินหน้าสู่เป้าหมาย
ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขรั้งอันดับหน่วยงานราชการที่ติดหล่มความขัดแย้งมากสุดในลำดับต้นๆ
โดย...สุภชาติ เล็บนาค/พิเชษฐ์ ชูรักษ์
ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขรั้งอันดับหน่วยงานราชการที่ติดหล่มความขัดแย้งมากสุดในลำดับต้นๆ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ นพ.โสภณ เมฆธน จึงถูกคาดหวังสูงจากองคาพยพภายในกระทรวงว่าเขาจะฝ่าความขัดแย้งเดินหน้านโยบายหลายๆ ด้าน รวมถึงการปฏิรูประบบสุขภาพให้เป็นรูปธรรม
ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง นพ.โสภณ ประกาศทิศทางชัดว่า ความขัดแย้งที่เคยเป็นมาจะต้องยุติลงทุกกรณี และช่วงเทอม 2 ของเขาจะเป็นเวลาแห่งการเดินหน้า “ทำงาน” เพื่อประโยชน์ประชาชนอย่างเดียว
“โพสต์ทูเดย์” เข้าสัมภาษณ์พิเศษคุณหมอโสภณ เพื่อฟังวิสัยทัศน์ในฐานะปลัดกระทรวงป้ายแดง และถามถึงนโยบายในการปฏิรูประบบสุขภาพให้ถึงฝั่งฝัน พร้อมๆ กับแนวทางสลัดความขัดแย้งให้เป็นเพียงอดีต
“ผมคิดว่าเป็นงานที่ท้าทาย เพราะว่าในกระทรวงมีคนเก่ง และมีหลากหลายความคิดเห็น แล้วก็ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่จะเป็นความเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่เราก็ต้องชวนทุกคนมองไปข้างหน้าว่าประชาชนจะได้รับอะไร และกระทรวงสาธารณสุขควรจะมีบทบาทอย่างไร” นพ.โสภณ เริ่มฉายภาพ
เขาบอกอีกว่า กระทรวงหมอในยุคนี้จะไม่พูดถึงความขัดแย้ง และต้องพาทุกคนข้ามความขัดแย้งไปสู่เป้าหมายข้างหน้า มีภาพฝันด้วยกัน และมีแนวทางที่เดินด้วยกัน
“ผมคิดว่าขณะนี้ความขัดแย้งเริ่มดีขึ้น แล้วผมก็เห็นทุกคนช่วยกันเต็มที่ เสียงสะท้อนหลายอย่างก็กลับมา เช่น เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายก็ไม่ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบ เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็ชวนทุกคนร่วมกันทำงานต่อไป” ปลัด สธ.ระบุ
เขายืนยันว่า ไม่มีสัญญาอะไรเป็นพิเศษกับรัฐบาล หรือกับ ศ.นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สธ. แต่ในฐานะข้าราชการประจำก็ต้องทำตามนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะการสร้างความปรองดองเพื่อทำประโยชน์ให้ประชาชน
“ถ้าคิดว่าต้องมีอำนาจมากที่สุดในกระทรวงมันก็แย่ ที่ต้องคิดมากกว่าคือ ถ้ามีอำนาจแล้วจะทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างไร มากกว่ามองว่าจะสร้างอำนาจให้กลุ่มตัวเองอย่างไร ผมก็มองอย่างเดียวว่ามีงานอะไรบ้าง แล้วใครเหมาะ จะเป็นเด็กใครผมไม่สนใจ เพราะถ้าคุณขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นพวกใคร เราก็เปลี่ยนเขาได้ และอยู่ไปนานๆ เขาก็เป็นพวกเราได้
“แต่ถ้าเราไปตีตราว่าคนนี้เป็นพวกนั้นก็แย่เลย กลายเป็นว่าเราจำกัดคนในการทำงาน ถ้าเกิดเขาเป็นอีกพวกหนึ่งที่เราไม่ชอบ ก็เสียโอกาส เสียองค์กร เสียโอกาสผมด้วย มันเสียหมด สุดท้ายก็ต้องช่วยกันทำงาน แต่ถ้าคุณยังแบ่งพวก มันก็เสียโอกาสของคุณเอง” นพ.โสภณ ระบุ
อย่างไรก็ตาม คุณหมอยังยืนยันไม่ได้ ว่าหลังจากนี้จะไม่มีการตบเท้า-งัดข้อ เหมือนอดีตที่ผ่านมา แต่ที่รับปากได้ก็คือ จะให้ความยุติธรรมกับทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย และไม่มีการเอาใจคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียวแน่นอน
“ตอนผมเป็นรองปลัดฯ รองอธิบดี ผู้บังคับบัญชาท่านบอกเลยว่า ท่านไม่สร้างทายาท ผมก็สงสัยว่าทำไมผมไม่มีโอกาสเป็นทายาทเหรอ วันนี้ผมรู้สึกแล้วว่าการสร้างทายาททำให้เกิดความแตกแยก เพราะมันปิดโอกาสให้คนอื่นได้โต แต่ถ้าสร้างกลุ่มคนเป็นผู้บริหารในอนาคต นั่นอีกเรื่องผมจะสร้างอย่างนั้นมากกว่า” ปลัด สธ. ระบุ
ปลัดโสภณ มั่นใจว่า เขาสามารถทำงานได้กับทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแพทย์ชนบท หรือกลุ่มประชาคมสาธารณสุข ซึ่งเคยขัดแย้งกันมาก่อนหน้านี้
ความท้าทายอีกอย่างในแง่นโยบายก็คือ จะทำอย่างไรให้การบริหารจัดการเงินในระบบสุขภาพนั้นเพียงพอ เพราะที่ผ่านมามีเสียงร้องเรียนถึงการบริหารจัดการที่อาจทำให้โรงพยาบาลขาดทุนอยู่พอสมควร นอกจากนี้ก็มีข้อเสนอแนะว่า หากจะให้รักษาฟรีอาจทำให้ระบบไปต่อไม่ได้ และสุดท้ายต้องเริ่มที่ระบบร่วมจ่าย
“เงินพอหรือไม่ เป็นอีกจุดเสี่ยงอันหนึ่งที่ท้าทาย แน่นอนเงินมันจำกัดอยู่แล้ว มีลูกโป่งอยู่ลูกเดียว สุดท้ายผมก็คิดว่ามันขึ้นกับลำดับความสำคัญ เช่น นโยบายเราบอกว่า โรงพยาบาลขาดทุน เงินไม่พอ มันก็ต้องถามว่าแล้วโรงพยาบาลที่กำไรมีไหม ทีนี้โรงพยาบาลที่กำไรก็ต้องแชร์กำไรมาให้โรงพยาบาลที่ขาดทุน
“หรือบอกว่า โรงพยาบาลที่ดูแลคน 2 หมื่นคนอยู่ไม่ได้ โรงพยาบาลที่ดูแลคนเป็นแสนอยู่ได้ก็ต้องมาช่วย เพราะทุกโรงพยาบาลอยู่ภายใต้บริษัทเดียวคือ บริษัทกระทรวงสาธารณสุข มันไม่ใช่โรงพยาบาลนี้เป็นของคุณ อันนี้เป็นของผม ผมต้องเอากำไร คุณเอากำไร แล้วต้องแย่งเงินกัน ไม่ใช่
ต้องดูทั้งระบบและคุณต้องเข้าใจว่ามันเป็นเงินงบประมาณ ที่เขาให้มาดูแลประชาชน ไม่ใช่เงินของคนใดคนหนึ่ง ถ้าคิดอย่างนี้ ผมก็ว่าน่าจะพอแก้ปัญหาได้” ปลัดสาธารณสุข ย้ำ
อย่างไรก็ตาม ตามแผนของปลัด สธ.ยังต้องดูมอนิเตอร์ทั้งระบบ ตั้งแต่แผนกำลังคน ระบบบัญชี หรือค่าใช้จ่ายต่อยูนิต เพื่อหาว่าเงินในระบบขณะนี้พอหรือไม่ หากไม่พอก็อาจจำเป็นต้องไปบอกรัฐว่าเงินไม่พอ
คุณหมอโสภณ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้ก็คือนำนโยบายรัฐบาลและนโยบายรัฐมนตรีไปสู่การปฏิบัติให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมป้องกันโรคของ 5 กลุ่มวัย ตั้งแต่เด็ก วัยเรียน วัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุไม่ให้เจ็บป่วย การพัฒนาระบบบริการให้ประชาชนเข้าถึงระบบที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพ ลดการเจ็บป่วย ลดความแออัด
ขณะเดียวกัน ยังต้องพัฒนาระบบบริหารจัดการ สนับสนุนกำลังคน การเงิน การจัดซื้อจัดจ้างโปร่งใส ไม่มีทุจริต รวมถึงพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อสนับสนุนระบบสุขภาพ นอกจากนี้ต้องสร้างระบบป้องกันโรค ระบบอนามัยสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดก็คือระบบดูแลคุ้มครองผู้บริโภค
นอกจากบริหารราชการแผ่นดินให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายแล้ว รัฐบาลชุดนี้ยังมอบหมายเรื่องการปฏิรูปให้ดำเนินการด้วย ซึ่งมีกรอบใหญ่ๆ อยู่ 3 เรื่อง คือ 1.ระบบบริการ 2.ส่งเสริมสุขภาพ-ป้องกันโรคอุบัติใหม่ และ 3.ระบบการดูแลการเงินการคลัง
นพ.โสภณ ระบุว่า นโยบายสำคัญในการพัฒนาระบบบริหารจัดการ ก็คือการเดินหน้าพัฒนาระบบ “เขตสุขภาพ” 12 เขต กระจายให้ผู้ตรวจราชการดูแลว่าจะจัดบริการอย่างไร มากกว่าจะให้ข้างบนดูพื้นที่เพียงอย่างเดียว
“เรียกว่ากระจายอำนาจลงไป เพราะแต่ละเขตเรื่องการป่วย-ตายต่างกัน ทรัพยากร จำนวนคนก็ต่างกัน ทีนี้ส่วนกลางเติมทรัพยากรลงไปก็ต้องเน้นให้เกิดความเท่าเทียม เช่น คนเป็นโรคหัวใจ คนเขตนครสวรรค์อาจจะตายมากกว่า กทม.หรือเขตอื่นๆ เพราะแถวนั้นไม่มีจุดผ่าหัวใจได้ ก็ต้องปรับแก้ให้เขตนครสวรรค์มีสถานที่ มีตึก มีคน แล้วแต่ละเขตก็ต้องหาเพิ่มเติมว่าจุดไหนยังไม่เท่าเทียม พอขาดอะไร เราก็ไปเติมส่วนที่ขาด
“ผมยังเชื่อในแนวทางนี้ ตั้งแต่เป็นรองปลัดฯ แล้วรับผิดชอบการทำเขตสุขภาพ มันเห็นชัดเลยว่าแบ่ง 12 เขต เพราะถ้าแบ่ง 77 จังหวัด มันเล็กเกินไป แต่ถ้าในเขตจะมีโรงพยาบาลระดับต่างๆ มีโรงพยาบาลศูนย์รับการดูแล หรือเป็นศูนย์ส่งต่อ หรือเป็นศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางดูแลเด็กแรกคลอด หรือผ่าหัวใจ เพราะถ้าให้มีพวกนี้อยู่ในโรงพยาบาลเล็กๆ มากเกินไปก็ดูแลไม่ไหว แต่ถ้ามีจุดรับส่งต่อได้ก็โอเค”
คุณหมอโสภณ กล่าวว่า แนวทางนี้คือการมองโรงพยาบาลทุกแห่งว่าอยู่ภายใต้บริษัทเดียวกัน คือบริษัทกระทรวงสาธารณสุข เพราะฉะนั้นจะไม่มีการบริหารแบบแยกส่วน หรือโรงพยาบาลใด
โรงพยาบาลหนึ่งโตอยู่โรงพยาบาลเดียว
“ทรัพยากรต้องแบ่งกัน ผมคงไม่เติมทรัพยากร โดยที่ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์ เช่น ถามว่าถ้าลดการป่วยการตายก็ต้องดูว่าถ้ามีประชาชนอยู่ ณ จุดนี้อาจจะกลางทุ่งนา แล้วเจ็บป่วยขึ้นมาต้องไปรับยาละลายลิ่มเลือด สามารถแวะจุดไหนได้บ้าง ถ้าไม่มีที่แวะก็ต้องหาที่ที่เหมาะสม แล้วเติมคน เติมทรัพยากรลงไป”
ขณะเดียวกัน คุณหมอเห็นว่าจะไม่มองว่าใครเริ่มต้น ใครรับต่อ แต่ในระบบจะต้องมองว่า ทุกส่วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน เพราะเป้าหมายคือประชาชนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นระบบบริการในส่วนภูมิภาคให้เป็นรูปแบบเครือข่าย “พี่น้องต้องช่วยกัน” ซึ่งต้องมีการพัฒนาต่อไป
“ยกตัวอย่าง ที่นอนในโรงพยาบาลจังหวัดแน่นไปหมด ก็ต้องประเมินแล้วว่า มีโรคอะไรที่สามารถส่งไปอยู่ที่โรงพยาบาลอำเภอได้บ้าง หรือถ้าป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตยังกลับบ้านไม่ได้ก็ต้องมาแวะที่โรงพยาบาลอำเภอ ซึ่งอัตราการครองเตียงน้อยกว่า หากเขาต้องทำกายภาพบำบัดก็ต้องเพิ่มนักกายภาพ
“หรือหากมีผู้สูงอายุก็ต้องเพิ่มนักโภชนาการ แต่ถ้าเรามองถึงสังคมผู้สูงอายุ ทีนี้ก็ต้องร่วมกับชุมชนแล้ว ก็อาจต้องมีศูนย์อเนกประสงค์ในชุมชน เพื่อแบ่งเบาภาระจากทางบ้าน นี่คือรูปแบบของเครือข่ายบริการที่เรามอง”
“สมมติถ้ากินข้าว เสิร์ฟสามถาด กับเสิร์ฟตรงกลางด้วยกัน เสิร์ฟแบบคนไทย กินด้วยกันนี่ล่ะประหยัดกว่า แต่ถ้าบุฟเฟ่ต์ก็สิ้นเปลือง เพราะทุกคนต้องการเอาไปก่อน หรือถ้าเลี้ยงคนเยอะมาก แต่ทุกคนอยู่ในถาดของตัวเองก็จะสิ้นเปลืองมาก นี่คือรูปแบบของเรา แชร์ด้วยกันระหว่างพี่น้อง เพราะที่มีอยู่เราพัฒนาทั้งหมดไม่ไหว” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ย้ำทิศทางการบริหาร


