วิกฤตจราจร กทม. คุมจำนวนรถ ไม่มีที่จอด-ห้ามซื้อ
ตั้งแต่ปี 2572 เป็นต้นไป กรุงเทพฯ จะไม่ได้มีความหมายว่า “มหานคร” แต่จะมีขนาดใหญ่มากจนเรียกได้ว่าเป็น “อภิมหานคร”
โดย...นิติพันธุ์ สุขอรุณ
ปัญหาการจราจรติดขัดอย่างหนักในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ยังคงเป็นความเดือดร้อนเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับคนเมือง ยิ่งไปกว่านั้นมีการคาดการณ์ว่าในอนาคตจำนวนรถส่วนบุคคลจะเพิ่ม จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 8 ล้านคัน ขึ้นเป็น 10 ล้านคัน ในปี 2572 ค่าความเร็วของการเดินทางจาก 19 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะลดลงเหลือ 12 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน รถ ราง เรือ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไม่ปลอดภัย ไม่เอื้อให้เกิดความสะดวกในการเปลี่ยนถ่ายรถโดยสาร ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเกิดจากค่านิยมในการซื้อรถยนต์ส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีปัญหาร้านค้าแผงลอยตั้งร้านกีดขวางทางเท้า วินรถตู้จอดรถขวางป้ายรถเมล์ปิดช่องทางสัญจรด้านซ้าย 1-2 เลน ส่งผลกระทบให้การจราจรในกรุงเทพฯ ติดขัดสาหัส
จากแนวโน้มที่กำลังใกล้เข้ามาทำให้ กทม. ต้องคิดหาทางลดจำนวนรถยนต์ในเขตเมืองชั้นในให้ได้ ด้วยเป้าหมายกำหนด 7 แนวทางแก้ปัญหารถติดในอนาคตของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ประกอบด้วย 1.คุมกำเนิดรถยนต์ โดยผู้ใช้รถยนต์ต้องแสดงสถานที่จอดให้ชัดเจน ถ้าไม่มีซื้อรถยนต์ไม่ได้ 2.ควบคุมการใช้รถส่วนบุคคลในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในศูนย์กลางธุรกิจ ถ้าต้องการขับรถยนต์เข้ามาต้องจ่ายเงินค่าใช้ถนน
3.ค่าที่จอดรถราคาสูงลิ่ว เพื่อทำให้เกิดการตัดสินใจทิ้งรถไว้ที่บ้านมากกว่าใช้รถส่วนตัว 4.พัฒนาระบบรถโดยสารประจำทาง ให้มีความสะดวกสบายและปลอดภัย 5.เพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งทางเลือกให้เป็นวิถีชีวิตหลัก หรือเป็นการป้อนเข้าสู่ระบบรางเชื่อมเรือ
6.เพิ่มเส้นทางจักรยาน ดูแลสภาพถนนให้ใช้งานได้ดี เพิ่มความสะดวกให้ผู้สูงอายุและผู้พิการ เพราะสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และ 7.ต้องนำเทคโนโลยีมาใช้ต่อเนื่อง พัฒนาระบบสกายวอล์กในศูนย์กลางธุรกิจเพื่อจูงใจให้ประชาชนใช้ประโยชน์ ที่สำคัญรัฐบาลต้องสร้างผังเมืองให้ปริมณฑลมีความพร้อมทั้งโรงเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อไม่ให้คนในเขตปริมณฑลเดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ โดยไม่จำเป็น
ทั้งนี้ หน่วยวัดจำนวนการเดินทางถูกกำหนดโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยใช้หน่วยวัดว่า “เที่ยวคน/วัน” คำนวณจากจำนวนคนเดินทางคูณด้วยจำนวนเที่ยว ซึ่งปัจจุบันการเดินทางของคนกรุงเทพฯ อยู่ที่ 17 ล้านเที่ยวคน/วัน จากจำนวนคนกรุงเดินทางไป-กลับในแต่ละวัน
ทวีศักดิ์ เลิศประพันธ์ ผู้อำนวยการ สำนักการจราจรและขนส่ง บอกว่า จากการเดินทาง 17 ล้านเที่ยวคน/วันนั้น การขนส่งระบบรางในปัจจุบัน เช่น รถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าบีทีเอส รวมถึงแอร์พอร์ตลิงค์ สามารถรองรับได้เพียง 1 ล้านเที่ยวคน/วัน เท่านั้น อย่างไรก็ตาม คาดว่า ในปี 2572 การเดินทางของคนกรุงจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 26 ล้านเที่ยวคน/วัน จึงต้องอาศัยการพัฒนาระบบโครงข่ายขนส่งมวลชนสาธารณะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เริ่มด้วยสิ่งที่ กทม.กำลังดำเนินการ อาทิ พัฒนาระบบโมโนเรลมุ่งสู่จุดชุมทางต่างๆ ให้สามารถเชื่อมไปสู่ระบบขนส่งอื่นได้อย่างสะดวก ทำให้เกิดการเปลี่ยนถ่ายการเดินทาง เช่น ระยะทางวิ่งของรถเมล์สั้นลงเพื่อให้ควบคุมเวลาได้และปรับปรุงคุณภาพงานบริการให้ดี จากนั้นพัฒนาถนนสำหรับคนเดินเท้า ทำให้ทางเดินเท้าใช้งานได้จริง เพิ่มเลนสำหรับปั่นจักรยาน ให้คนหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังเตรียมปรับปรุงการเดินเรือในคลองภาษีเจริญและขยายการพัฒนาไปสู่คลองลาดพร้าว คลองเปรมประชากร คลองแสนแสบส่วนต่อขยาย หรือแม้กระทั่งในคลองผดุงกรุงเกษม ก็เป็นเส้นทางที่ทำได้ทันที ถัดมาคือการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยดูแลการจราจรเพื่อบอกเส้นทางให้ประชาชนมีทางเลือก
ในด้านการพัฒนาจุดตัดทางแยกต่างๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง เช่น อุโมงค์มไหสวรรค์ ทางลอดจรัญสนิทวงศ์-พรานนก ทางลอดจรัญสนิทวงศ์-บรมราชชนนี เหลือเพียงจุดตัดบริเวณถนนอโศกมนตรี ที่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะมีประชาชนคัดค้านโครงการก่อสร้าง แต่หากดำเนินการแล้วเสร็จจะช่วยทำให้การจราจรคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ระบบรางรถไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้นอยู่ในระหว่างการก่อสร้างมีความยาวประมาณ 500 กิโลเมตร และจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2564 จะช่วยเพิ่มความสามารถการเดินทางของประชาชนได้อีก 5-6 ล้านเที่ยวคน/วัน ถือเป็นการพัฒนาจากชั้นในไปหาพื้นที่ชั้นนอกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนมีความพร้อมเต็มที่แล้ว ขั้นต่อมาคือมาตรการควบคุมปริมาณรถยนต์ในเขตเมือง เช่น ผู้ที่ต้องการจดทะเบียนรถใหม่ จะต้องยืนยันได้ว่ามีที่จอดรถยนต์ประจำไม่กีดขวางถนน จึงจะสามารถซื้อรถยนต์ได้
จากนั้นจะต้องมีการจัดเก็บค่าจอดรถริมทางสาธารณะ ในอัตราที่สูงหรือห้ามจอดโดยเด็ดขาด ซึ่งหากฝ่าฝืนจะต้องมีโทษหนัก เป็นวิธีเดียวกับที่ใช้ในประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ รวมถึงบังคับให้ผู้ใช้รถจ่ายค่าผ่านทางเพื่อเข้าไปในเมือง
ทวีศักดิ์ กล่าวอีกว่า แม้จะมีแรงต่อต้านจากประชาชนอยู่บ้าง แต่ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจ เพราะตั้งแต่ปี 2572 เป็นต้นไป กรุงเทพฯ จะไม่ได้มีความหมายว่า “มหานคร” แต่จะมีขนาดใหญ่มากจนเรียกได้ว่าเป็น “อภิมหานคร” นั้นคืออาณาเขตจากกรุงเทพฯ ถึงปริมณฑล เพราะประชาชนที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ชั้นในมาจากจังหวัดรอบข้าง เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี ปทุมธานี และนครปฐม ดังนั้นการเดินทางต้องเชื่อมถึงกันได้
ทั้งนี้ ผู้อำนวยการสำนักการจราจรฯ กล่าวย้ำว่า กทม.ไม่ได้ต้องการเงินจากค่าที่จอดรถหรือค่าใช้ถนน แต่ในอนาคตเมื่อระบบมีความพร้อมและครอบคลุมแล้ว กทม.ต้องการให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชน มากกว่าจะใช้ระบบขนส่งส่วนตัวอย่างที่เป็นอยู่


