1ปีภารกิจช่วยลูกเรือประมงเกาะอัมบน...อย่าปล่อยให้เรื่องเงียบ!
ครบรอบ 1 ปีของการช่วยเหลือลูกเรือประมงในน่านน้ำอินโดนีเซีย อย่าปล่อยให้เรื่องเงียบหาย
เรื่อง...อินทรชัย พาณิชกุล / ภาพ...มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN)
ข่าวการช่วยเหลือลูกเรือประมงที่เกาะอัมบนและเกาะเบนจิน่าในน่านน้ำอินโดนีเซีย ถือเป็นข่าวใหญ่แห่งปี 2558
ภาพลูกเรือชาวไทย เมียนมาร์ กัมพูชา และลาวนับพันชีวิตที่ถูกล่อลวงให้ไปใช้แรงงานเยี่ยงทาสบนเกาะอันไกลโพ้น ถูกบังคับให้ทำงานหนักโดยไม่ได้รับค่าแรง ถูกกักขัง ถูกทำร้ายอย่างทารุณไม่ต่างจากสัตว์ หลายคนบาดเจ็บพิการ หลายคนล้มตายกลายเป็นศพไร้ญาติ ทั้งหมดนำไปสู่ปฏิบัติการช่วยเหลือลูกเรือประมงกลับบ้าน โดยศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือลูกเรือประมง (Seafarers Action Center:SAC) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและอินโดนีเซีย
วันนี้ ครบรอบ 1 ปีหลังการกลับบ้านของลูกเรือประมง แต่ดูเหมือนสังคมไทยเริ่มจะลืมเลือนกันไปเสียแล้ว
หนึ่งปีในนรกกลางทะเล
แสงสุดท้ายของวันกำลังจะหมดลง ดวงอาทิตย์กลมโตค่อยๆหล่นตรงเส้นขอบฟ้า เรือประมงขนาดเล็กนับสิบลำจอดเรียงรายริมฝั่ง ชายหนุ่มยังคงยืนแน่นิ่งบนสะพานปลา เหม่อมองทะเลเบื้องหน้าด้วยแววตาไร้ความรู้สึก
ใครจะเชื่อว่า วันนี้เมื่อปีที่แล้วช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา หลังตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์หลอกไปเป็นแรงงานทาสบนเรือประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียนานกว่า 5 ปีเต็ม
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 สมปอง หลินศรี ชาวอ.ประทาย จ.นครราชสีมา กำลังนั่งรอรถประจำทางอยู่บริเวณศาลเจ้าแม่งู ถนนพระราม 2 เขาเพิ่งลาออกจากโรงงานผลิตเหล็กเส้นแห่งหนึ่ง เหลือเงินติดตัวเพียงแค่ 10 บาท ตอนนั้นเองที่มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมาทักทาย พูดคุยกันได้ครู่เดียวชายคนนั้นก็เอ่ยปากชักชวนไปทำงาน โดยใช้คำว่า 'งานง่าย รายได้ดี' มาเป็นตัวล่อ สุดท้ายสมปองก็ติดกับ
"ผมเพิ่งตกงาน ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือแค่ 10 บาท ไม่รู้จะไปไหน พอเขาชวนไปทำงานที่มหาชัย บอกว่าคัดปลาในร่ม งานไม่หนัก เงินเดือนดี ผมเลยซ้อนท้ายไปกับเขา ช่วงที่อยู่มหาชัย ผมถูกพาตัวไปอยู่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งรวมกับผู้ชายอีก 7-8 คน เขาเลี้ยงดูปูเสื้อเราอย่างดี อยากกินอะไรไม่เคยขัด เหล้ายาปลาปิ้งมีหมด ก่อนจะพาไปถ่ายรูป ทำหนังสือซีแมนบุ๊กโดยใช้ชื่อปลอม ผมก็เอะใจแต่ไม่กล้าพูดอะไร กลัวเขาจะทำร้าย จนกระทั่งอีก 3 วันต่อมาเขาก็พาลงเรือที่มหาชัย เดินทางไกลมากประมาณ 20 วันก่อนจะถูกย้ายลงอีกเรือลำหนึ่ง พอถึงน่านน้ำอินโดนีเซียปุ๊บไต้ก๋งสั่งให้ทำงานทันที และบอกว่าผมติดค่าหัว 25,000 บาท วินาทีนั้นรู้เลยว่าถูกหลอกเข้าแล้ว"
ความโหดร้ายเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนั้น สมปองและลูกเรือประมงคนอื่นๆถูกบังคับให้ทำงานหนักวันละไม่ต่ำกว่า 20 ชั่วโมงต่อวัน คัดปลา เคาะปลา แทงสลิง เข้าเชือก เก็บอวน แบกถาดปลาลงห้องเย็น ทั้งหนักและเหนื่อยแทบไม่เป็นอันกินอันนอน
"งานมันหนักเหลือเกิน บางคนนอนหมดแรง ไต๋ก็เอาคมแฝกฟาดจนเนื้อแตก ถูกเตะ ต่อย กระทืบ ตะโกนด่าเหมือนหมูเหมือนหมาว่ากูจ้างมึงมาทำงานนะ ไม่ได้ให้มานอน บางคนป่วยก็ไม่ยอมพาไปหาหมอ โยนยาแก้ปวดให้กิน 2 เม็ดแล้วสั่งให้ทำงานต่อ บางคนเครียดทนไม่ไหวกระโดดทะเลหนีจมน้ำตายต่อหน้า คนที่หนีขึ้นฝั่งได้ก็ถูกตามล่า โดนรุมกระทืบปางตายแล้วโยนทิ้งกลายเป็นผีเฝ้าทะเล"
สมปองตกอยู่ในนรกกลางทะเลนาน 4 ปีเต็มโดยไม่ได้ค่าแรงแม้แต่บาทเดียว วันหนึ่งจึงตัดสินใจหนีขณะเรือเข้าฝั่ง หลบซ่อนอยู่ในห้องน้ำนาน 7 วัน 7 คืนโดยไม่มีอาหารตกถึงท้อง มีเพียงน้ำก๊อกประทังชีวิต ในที่สุดเขาหนีจากเงื้อมมือมัจจุราชได้สำเร็จ ก่อนจะโทรหามูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน หรือ LPN ให้ช่วยพากลับเมืองไทย
"ช่วงที่หนีก็ขอข้าวขอน้ำชาวบ้านกิน ของานเล็กๆน้อยๆทำ กลัวโดนตามล่านะ เพราะถ้ากลับขึ้นเรือคงอยู่ไม่รอดถึงวันแน่ๆ พอดีตอนนั้นเพื่อนลูกเรือด้วยกันให้เบอร์โทรศัพท์มาเบอร์หนึ่ง บอกว่าถ้ามึงอยากกลับบ้านก็บอกพี่เขา ผมก็โทรบอก พี่ครับ มาช่วยพวกผมหน่อย ผมอยากกลับบ้านแล้ว สุดท้ายก็ได้รับการช่วยเหลือกลับเมืองไทย"
วันแรกที่เหยียบแผ่นดินเกิด สมปองได้รับรู้ข่าวร้ายว่าแม่บังเกิดเกล้าจากไปขณะอยู่ที่เกาะอัมบน พี่ชายพี่สาวและพ่อตามหาแทบพลิกแผ่นดินแต่ก็หมดหวัง เพราะคิดว่าตายไปแล้ว
"ผมยืนร้องไห้อยู่ป้ายรถเมล์คนเดียว ทำอะไรไม่ถูก แค้นใจมาก ผมเกลียดนายหน้า 2 คนที่มันหลอกลวงผมไปลงเรือ อยากให้มันเข้าคุก นายท้ายเรือที่มันทุบตีผมด้วย เจ็บใจนะที่คนไทยด้วยกันมาหลอกกันเอง นายหน้าได้เงิน แต่พวกผมเหมือนตกนรกทั้งเป็น ชาตินี้ไม่ขอไปเป็นลูกเรือประมงอีกแล้ว"
ปัจจุบัน สมปองทำงานที่บริษัทอาหารทะเลแปรรูปแห่งหนึ่งที่อ.มหาชัย จ.สมุทรสาคร ชีวิตใหม่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง ทั้งสภาพแวดล้อม หน้าที่การงาน และการปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่ไม่คุ้นชิน
ความทรงจำอันเลวร้ายและบาดแผลในใจที่ยากจะสมานคงต้องใช้เวลาอีกนานในการเยียวยา
9 ข้อเท็จจริงอันน่าสะพรึงบนเกาะอัมบน
สมพงศ์ สระแก้ว ผอ.มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) เปิดเผยถึง 10 ข้อเท็จจริงอันน่าตกใจที่ได้พบระหว่างปฏิบัติการช่วยเหลือลูกเรือประมงในน่านน้ำอินโดนีเซีย ดังนี้
1.มีกระบวนการลักลอบขนคนและแรงงานข้ามชาติ ด้วยการกักขังเหยื่อไว้บนฝั่งเพื่อส่งขายลงเรือประมง กลุ่มนายหน้าจะร่วมกับบุคคลที่อ้างตนว่าเป็นหน่วยงานภาครัฐที่จับกุมแรงงานข้ามชาติ พม่า กัมพูชา ก่อนนำส่งขายต่อให้เรือประมงไทย โดยมีสถานที่กักขังเหยื่อ เช่น บ้านสีฟ้า และบ่อกุ้ง ห้องเช่าสวนมะพร้าว สวนผลไม้ ในละแวกใกล้เคียงพื้นที่สมุทรสาคร สมุทรปราการ และสมุทรสงคราม
2.มีเด็กชายอายุเฉลี่ย 12 ปี ทั้งชาวไทย พม่า กัมพูชา และลาวจำนวนไม่น้อยถูกขายลงเรือประมง และไม่ได้กลับมาอีกเลย
3.มีแรงงานพม่าไม่น้อยกว่า 2,000 คน ถูกขายลงเรือประมงอย่างผิดกฎหมาย และให้สวมเอกสารเป็นชื่อคนไทย บางคนไม่ได้กลับบ้านนานถึง 22 ปี
4.มีคนไร้บ้านไม่ต่ำกว่า 500 คนถูกมอมเหล้า มอมยาสลบ ก่อนบังคับลงเรือ บางคนกลับมาเสียสติ อยู่กับครอบครัวไม่ได้ มีอาการประสาทหลอน และหูแว่ว อยากจะฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้พิการจากการทำงานในเรือประมงไม่ต่ำกว่า100 คน เช่น มือขา นิ้วกุด ขาขาด ตาบอด และขาดอาหารขั้นรุนแรง มือเกร็ง เท้าเกร็ง และความจำเสื่อม
5.กว่า 70 % ของลูกเรือประมงที่ไปประเทศอินโดนีเซีย ไม่ได้รับค่าแรงที่เป็นธรรม ถูกใช้งานเยี่ยงทาส ทำงานมากว่าวันละ 20 ชั่วโมง
6.มีคนจำนวนมากไม่สามารถกลับบ้านได้ เนื่องจากไม่มีเอกสารแสดงตัวตน เพราะนายจ้างให้บริษัทคู่ค้าและไต๋เรือเก็บไว้ ซึ่งหมายรวมถึงการปลอมแปลงเอกสารโดยนายหน้าซึ่งเป็นนักค้ามนุษย์ (หมายถึงนายจ้างร่วมกับนายหน้า ไต๋เรือ และบริษัทเรือไทยและอินโดฯร่วมมือกันทำสิ่งต่างๆ ภายใต้ระบบการคอรัปชั่น และผู้มีส่วนได้เสีย ได้เปลี่ยนสัญชาติของแรงงาน เช่น ไทย เปลี่ยนเป็น กัมพูชา /กัมพูชาเปลี่ยนเป็นไทย /พม่าเปลี่ยนเป็นไทย เพื่อให้เกิดความสับสน และหาตัวตนของแรงงานไม่ได้ และเพื่อปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
7.มีการทำร้ายทุบตีเกิดขึ้นในเรือ เช่น ตบหน้า ถีบ ใช้น้ำร้อนสาด ใช้เหล็กแป๊บตี ใช้หางปลากระเบนตี บังคับให้กระโดดน้ำว่ายจนหมดแรงเสียชีวิต มีคำสั่งฆ่า หากไม่เชื่อฟังหรือคิดขัดขืน
8.มีแรงงานประมงจำนวนหนึ่งทนสภาพการทำงานไม่ได้ กระโดดน้ำเพื่อฆ่าตัวตาย และกระโดดเพื่อหนีเอาชีวิตรอด บางคนติดเกาะอยู่ในหมู่บ้านต่า ๆที่ประเทศ อินโดนีเซีย ได้แก่ เกาะเบนจิน่า เกาะอัมบน เกาะ ตวน เกาะมารูเก้ ฯลฯ จำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 คน บางคนเสียชีวิตเพราะเป็นไข้มาลาเลีย งูกัด บางคนอดอาหารตาย ถูกทำร้ายจากผู้มีอิทธิพล และการไล่ล่าเพื่อให้กลับลงไปทำงานในเรืออีกครั้ง
9.แรงงานทั้งหมดตกอยู่ในสภาพของแรงงานขัดหนี้ และไม่ได้รับค่าแรงจนกว่าเรือจะกลับประเทศไทย ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 6 ปี และแรงงานเหล่านั้นไม่ได้กลับบ้านตามที่นายจ้างหรือไต๋สัญญา แต่จะถูกขายไปในเรือลำอื่นๆนานกว่า 10 ปี -25 ปี
10.แรงงานประมงในพื้นที่เกาะอัมบน เกาะตวน และเกาะเบนจิน่า สมควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนจากรัฐบาล
"หลังติดตามช่วยเหลือกลับประเทศไทย เรายังเป็นตัวกลางประสานงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ทั้งช่วยเหลือด้านคดีความ การเรียกร้องค่าจ้าง ค่าแรง ติดตามครอบครัว ส่งกลับภูมิลำเนา กิจกรรมส่งเสริมเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ และการส่งเสริมให้แรงงานมีรายได้ด้วยการทำงานระหว่างรอการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมด้วย วันนี้ดูเหมือนเรื่องดูจะเงียบหายไปจากสังคม เราจึงอยากนำข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณะอีกครั้งว่า 1 ปีที่ผ่านมา เราได้ช่วยลูกเรือประมงมาได้เท่าไหร่ ใครบ้างที่ตกเป็นเหยื่อ และพวกเขาควรได้รับการดูแลฟื้นฟูอย่างไรบ้างหลังจากกลับมา ซึ่งรัฐบาลต้องไม่นิ่งเฉย"
อย่าปล่อยให้เรื่องเงียบ
ข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือลูกเรือประมงระบุว่า จำนวนลูกเรือที่ได้รับประสานงานและสามารถเดินทางกลับประเทศช่วยเหลือจากมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน หรือ LPN โดยตรง ระหว่างเดือนส.ค. 2557-ส.ค. 2558 ประกอบด้วย ชาวไทย 189 คน เมียนมาร์ 34 คน กัมพูชา 4 คน ลาว 4 คน รวมทั้งสิ้น 231 คน ขณะที่จำนวนลูกเรือที่ได้รับความช่วยเหลือส่งกลับประเทศทั้งหมดจากหน่วยงานอื่นๆ เช่น กระทรวงต่างประเทศ รัฐบาลอินโดนีเซีย มูลนิธิปวีณา องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และผู้ประกอบการ ระหว่างเดือน สิงหาคม พ.ศ. 2557 – สิงหาคม พ.ศ. 2558 รวมทั้งสิ้น 2,250 คน
อย่างไรก็ตาม ยังมีแรงงานประมงติดต่อของความช่วยเหลือในเกาะต่างๆ อีกไม่ต่ำกว่า 200 คน ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงการช่วยเหลือได้แก่ เกาะเบนจิน่า 100 คน เกาะอัมบน 100 คน เกาะตวน 50 คน และเกาะโปไซนัส กาลิมันตัน จำนวน 30 คน เกาะซัมลักกี้ 30 คน นอกจากนี้ผู้เสียชีวิตและต้องการนำศพมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจำนวน 3 ศพ ที่เกาะเบนจิน่า ต้องดำเนินการเรื่องการพิสูจน์ DNA และประสานระหว่างกรมการกงสุล เพื่อดำเนินการช่วยเหลือต่อไป ญาติประสานเพื่อขอความช่วยเหลือ เป็นแรงงานประมงชาวไทย และศพนิรนามอีกจำนวน 111 หลุม
ล่าสุด เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี 2558 (TIP Report 2015) ซึ่งประเทศไทยยังคงอยู่ในบัญชีกลุ่มที่ 3 (Tier 3) แม้ทางรัฐบาลไทยจะดำเนินการต่อต้านการค้ามนุษย์ของไทยอย่างจริงจัง เช่น การผลักดันนโยบายต่อต้านการค้ามนุษย์เป็นวาระแห่งชาติ และจัดตั้งกลไกระดับชาติ เข้ามาร่วมขับเคลื่อน มีการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ มีการทลายเครือข่ายผู้กระทำผิดค้ามนุษย์รายสำคัญ มีการจับกุม ดำเนินคดีและลงโทษเจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ รวมทั้งขึ้นทะเบียนแรงงานกว่า 1 ล้าน 6 แสนคนให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
ผอ.มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน ย้ำว่า ภารกิจช่วยเหลือลูกเรือประมงในน่านน้ำอินโดนีเซียยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จ ทุกฝ่ายยังคงต้องร่วมแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง
"ที่ผ่านมา รัฐบาลไม่เคยมีการแถลงต่อสาธารณชนว่ามีการช่วยเหลือเหยื่อลูกเรือประมงมาได้กี่คน มีกระบวนการเยียวยาฟื้นฟูพวกเขาอย่างไรบ้าง ทำให้สังคมสงสัยว่าทำไมเงียบหาย รัฐบาลจำเป็นต้องทำงานเชิงรุกให้มากขึ้น ทำให้สุดทาง เพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดี อย่าดูแลแค่ปัญหาการค้ามนุษย์เพียงอย่างเดียว กรณีเรือประมงในน่านน้ำอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันมีเรือไทยมากกว่า 1500 ลำ ถือเป็นเรื่องใหญ่ มีแรงงานเป็นจำนวนมากถูกใช้แรงงานเยี่ยงทาส ถูกทำร้ายร่างกาย ไม่ได้กลับบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ที่ยังติดอยู่ตามเกาะต่างๆ ทำอย่างไรที่จะทำให้การออกเรือแต่ละครั้ง จะมีแต่คนสมัครใจไปทำงานจริงๆ บนเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ ได้ค่าจ้างค่าแรงที่เป็นธรรม ตรงนี้ถ้าเราไม่ทำมันให้ดีขึ้น ทุกอย่างก็จะมีแต่แย่ลง"
1 ปีกับภารกิจช่วยเหลือลูกเรือประมง เหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ จากน่านน้ำอินโดนีเซีย ควรจะเป็นบทเรียนสำคัญให้รัฐบาลไทยตื่นตัวในการดำเนินการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ อย่าปล่อยให้เงียบหายไปกับสายลมโดยไม่เรียนรู้อะไรเลย


