posttoday

สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ที่กดอิสรภาพไทย

01 พฤศจิกายน 2558

พวกเราชาวไทยภาคภูมิใจที่ประเทศไทยของเราในยุครัตนโกสินทร์ ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมชาติตะวันตก เหมือนชาติอื่นในภูมิภาคนี้

โดย...ส.สต

พวกเราชาวไทยภาคภูมิใจที่ประเทศไทยของเราในยุครัตนโกสินทร์ ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมชาติตะวันตก เหมือนชาติอื่นในภูมิภาคนี้ ที่เรารอดมาได้เพราะอัจฉริยภาพและพระบารมีปกเกล้าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่รัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา แต่หากศึกษาประวัติศาสตร์กันจริงจังแล้ว จะพบว่าอิสรภาพของไทยถูกจำกัดโดยสนธิสัญญาที่ไทยทำกับชาติตะวันตก หลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์กับประเทศอังกฤษเป็นฉบับแรกเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2398 สัญญานั้นเรียกว่า สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ที่บั่นทอนอธิปไตยทั้งด้านอำนาจตุลาการและภาษีอากร ต่อมาประเทศตะวันตกอื่นๆ ก็ทำกับไทยแบบเดียวกับที่ประเทศอังกฤษทำไว้

ที่ไทยต้องยินยอมทำสัญญาเสียเปรียบ เพราะชาติตะวันตกที่เป็นมหาอำนาจนำเรือรบเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ส่วนที่เรียกว่า สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง เพราะทูตอังกฤษที่มาเจรจาให้เกิดสัญญานี้ ชื่อว่า Sir John Bowring

แม้ว่าชาวอังกฤษผู้นี้จะทำให้ไทยเสียอิสรภาพบางสิ่งบางอย่างตามที่ทราบกัน แต่ราชสำนักไทยกลับยกย่อง คือ รัชกาลที่ 5 ทรงแต่งตั้งให้เป็นอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนและทวีปยุโรป มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาสยามมานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ” ต่อมา พ.ศ. 2404 เบาว์ริ่งย้ายไปเป็นตัวแทนทางการค้าที่อิตาลีและอีกหลายประเทศในยุโรปเบาว์ริ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2415

สนธิสัญญาดังกล่าวผูกมัดไทยอยู่ 70 ปี จึงถูกยกเลิก โดยชาวอเมริกันเป็นผู้เจรจาความกับประเทศที่ทำสัญญาเอาเปรียบไทย ท่านผู้นี้คือ ฟรานซิส บี. แซร์ หรือพระยากัลยาณไมตรี นั่นเอง

ส่วนสาระสำคัญของสัญญาเบาว์ริ่ง มีดังนี้

1.คนในบังคับอังกฤษหรือชาติต่างๆ ทำการค้าได้โดยเสรี

2.ยกเลิกภาษีเบิกร่อง หรือค่าปากเรือ โดยให้เก็บภาษีขาเข้าร้อยละ 3 แทน อนุญาตให้นำฝิ่นเข้ามาโดยไม่ต้องเสียภาษี แต่จะต้องขายให้กับผู้ผูกขาดการค้าฝิ่นในเมืองไทยเท่านั้น

3.สยามอนุญาตให้ส่งข้าวเป็นสินค้าออกได้ ยกเว้นในปีที่ทำนาไม่ได้ผล

4.สินค้าออกให้เก็บเป็นภาษี “ขาออกอย่างเดียว”

5.ให้สยามตั้งโรงภาษี หรือศุลกากร เพื่อทำการตรวจสินค้าต่างๆ ที่นำขึ้นมาจากเรือ และลงเรือ เพื่อเก็บภาษีขาเข้าหรือขาออกแล้วแต่กรณี

หลังจากมีการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งแล้ว ระบบเศรษฐกิจของสยามเริ่มเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจแบบยังชีพพออยู่พอกินไปสู่เศรษฐกิจแบบเงินตรากับนานาประเทศ ทำให้การค้าขายขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางโดยใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน

สนธิสัญญาเบาว์ริ่งฉบับนี้ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของสยามหลายประการ คือ

1.เปลี่ยนแปลงระบบการค้าขายที่ทำให้สยามยกเลิกวิธีการค้าแบบพระคลังสินค้า ให้มีการค้าอย่างเสรี

2.เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจการผลิต หลังจากที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจของสยาม จึงเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตนเองมาสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้า

3.เปลี่ยนแปลงด้านภาษีอากร โดยสยามต้องยกเลิกการค้าแบบผูกขาด

4.การขยายตัวทางเศรษฐกิจอื่นๆ นั้นทำให้มีบริษัทและร้านค้าที่ชาวต่างชาติมาขอเปิดขึ้นมากมายในกรุงเทพฯ เช่น บริษัท บอร์เนียว บริษัท เรมีเดอมองตินยี หรือโรงแรมสมัยใหม่ เช่น โฮเตล ฟอลด์ เป็นต้น

5.พัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เพื่อรองรับความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การตัดถนน ขุดคลอง เป็นต้น

นี่คือย่อๆ แห่งสัญญาเบาว์ริ่ง ที่มัดไทยนาน 70 ปี

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68