สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ที่กดอิสรภาพไทย
พวกเราชาวไทยภาคภูมิใจที่ประเทศไทยของเราในยุครัตนโกสินทร์ ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมชาติตะวันตก เหมือนชาติอื่นในภูมิภาคนี้
โดย...ส.สต
พวกเราชาวไทยภาคภูมิใจที่ประเทศไทยของเราในยุครัตนโกสินทร์ ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมชาติตะวันตก เหมือนชาติอื่นในภูมิภาคนี้ ที่เรารอดมาได้เพราะอัจฉริยภาพและพระบารมีปกเกล้าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่รัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา แต่หากศึกษาประวัติศาสตร์กันจริงจังแล้ว จะพบว่าอิสรภาพของไทยถูกจำกัดโดยสนธิสัญญาที่ไทยทำกับชาติตะวันตก หลังจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ลงนามในสนธิสัญญาทางไมตรีและพาณิชย์กับประเทศอังกฤษเป็นฉบับแรกเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2398 สัญญานั้นเรียกว่า สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ที่บั่นทอนอธิปไตยทั้งด้านอำนาจตุลาการและภาษีอากร ต่อมาประเทศตะวันตกอื่นๆ ก็ทำกับไทยแบบเดียวกับที่ประเทศอังกฤษทำไว้
ที่ไทยต้องยินยอมทำสัญญาเสียเปรียบ เพราะชาติตะวันตกที่เป็นมหาอำนาจนำเรือรบเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ส่วนที่เรียกว่า สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง เพราะทูตอังกฤษที่มาเจรจาให้เกิดสัญญานี้ ชื่อว่า Sir John Bowring
แม้ว่าชาวอังกฤษผู้นี้จะทำให้ไทยเสียอิสรภาพบางสิ่งบางอย่างตามที่ทราบกัน แต่ราชสำนักไทยกลับยกย่อง คือ รัชกาลที่ 5 ทรงแต่งตั้งให้เป็นอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนและทวีปยุโรป มีบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาสยามมานุกูลกิจ สยามมิตรมหายศ” ต่อมา พ.ศ. 2404 เบาว์ริ่งย้ายไปเป็นตัวแทนทางการค้าที่อิตาลีและอีกหลายประเทศในยุโรปเบาว์ริ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2415
สนธิสัญญาดังกล่าวผูกมัดไทยอยู่ 70 ปี จึงถูกยกเลิก โดยชาวอเมริกันเป็นผู้เจรจาความกับประเทศที่ทำสัญญาเอาเปรียบไทย ท่านผู้นี้คือ ฟรานซิส บี. แซร์ หรือพระยากัลยาณไมตรี นั่นเอง
ส่วนสาระสำคัญของสัญญาเบาว์ริ่ง มีดังนี้
1.คนในบังคับอังกฤษหรือชาติต่างๆ ทำการค้าได้โดยเสรี
2.ยกเลิกภาษีเบิกร่อง หรือค่าปากเรือ โดยให้เก็บภาษีขาเข้าร้อยละ 3 แทน อนุญาตให้นำฝิ่นเข้ามาโดยไม่ต้องเสียภาษี แต่จะต้องขายให้กับผู้ผูกขาดการค้าฝิ่นในเมืองไทยเท่านั้น
3.สยามอนุญาตให้ส่งข้าวเป็นสินค้าออกได้ ยกเว้นในปีที่ทำนาไม่ได้ผล
4.สินค้าออกให้เก็บเป็นภาษี “ขาออกอย่างเดียว”
5.ให้สยามตั้งโรงภาษี หรือศุลกากร เพื่อทำการตรวจสินค้าต่างๆ ที่นำขึ้นมาจากเรือ และลงเรือ เพื่อเก็บภาษีขาเข้าหรือขาออกแล้วแต่กรณี
หลังจากมีการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งแล้ว ระบบเศรษฐกิจของสยามเริ่มเปลี่ยนแปลงจากเศรษฐกิจแบบยังชีพพออยู่พอกินไปสู่เศรษฐกิจแบบเงินตรากับนานาประเทศ ทำให้การค้าขายขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางโดยใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน
สนธิสัญญาเบาว์ริ่งฉบับนี้ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของสยามหลายประการ คือ
1.เปลี่ยนแปลงระบบการค้าขายที่ทำให้สยามยกเลิกวิธีการค้าแบบพระคลังสินค้า ให้มีการค้าอย่างเสรี
2.เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจการผลิต หลังจากที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ระบบเศรษฐกิจของสยาม จึงเปลี่ยนจากเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตนเองมาสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้า
3.เปลี่ยนแปลงด้านภาษีอากร โดยสยามต้องยกเลิกการค้าแบบผูกขาด
4.การขยายตัวทางเศรษฐกิจอื่นๆ นั้นทำให้มีบริษัทและร้านค้าที่ชาวต่างชาติมาขอเปิดขึ้นมากมายในกรุงเทพฯ เช่น บริษัท บอร์เนียว บริษัท เรมีเดอมองตินยี หรือโรงแรมสมัยใหม่ เช่น โฮเตล ฟอลด์ เป็นต้น
5.พัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เพื่อรองรับความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การตัดถนน ขุดคลอง เป็นต้น
นี่คือย่อๆ แห่งสัญญาเบาว์ริ่ง ที่มัดไทยนาน 70 ปี


