ทำงานไม่ตรงวุฒิ...จบมาไม่ตรงสาย
โดย...ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์
โดย...ดร.พิริยะ ผลพิรุฬห์
ทำงานไม่ตรงวุฒิ...จบมาไม่ตรงสาย
ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการพัฒนาประเทศ แม้ว่าสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาจะผลิตบัณฑิตออกมาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก แต่ปรากฏว่า บัณฑิตที่จบใหม่เหล่านั้นส่วนใหญ่จบมาไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน อันส่งผลให้บัณฑิตที่จบใหม่ต้องประสบปัญหาการไม่มีงานทำ หรือไม่สามารถหางานได้ทันทีหลังจากเรียนจบ ด้วยเหตุผลดังกล่าว บัณฑิตอีกเป็นจำนวนมากจำต้องทำงานไม่ตรงในสาขาที่ตนเองจบมา หรือบางคนต้องเลือกรับงานที่ทำต่ำกว่าศักยภาพหรือต่ำกว่าวุฒิการศึกษาที่ตนจบมา ปัญหาดังกล่าวก็คือ ปัญหาความไม่สอดคล้องของการศึกษาต่อตลาดแรงงาน (Educational Mismatch หรือ Labor Market Mismatch)
ทั้งนี้ ปัญหาความไม่สอดคล้องดังกล่าว สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเทศ ได้แก่
1) ความไม่สอดคล้องในแนวดิ่ง (Vertical Education Mismatch) ซึ่งเกิดจากการที่บัณฑิตที่จบมาจำต้องทำงานต่ำกว่าวุฒิที่ตัวเองจบ เช่น จบวุฒิปริญญาโทแต่ต้องทำงานเหมือนวุฒิปริญญาตรี หรือจบวุฒิปริญญาตรีแต่กลับต้องทำงานแบบวุฒิอาชีวศึกษา เป็นต้น
และ 2) ความไม่สอดคล้องในแนวราบ (Horizontal Education Mismatch) ซึ่งเกิดจากบัณฑิตที่เรียนมาไม่ตรงกับสายงานที่ทำ เช่น จบมาในสาขาวิทยาศาสตร์/วิศวกรรมศาสตร์ แต่กลับมาทำงานในด้านการตลาด เป็นต้น
ปัญหาความไม่สอดคล้องการทางศึกษานี้ไม่เพียงทำให้เกิดต้นทุนส่วนบุคคล (Private Cost) แต่ยังก่อให้เกิดต้นทุนทางสังคม (Social Cost) ต่อเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การลดลงของผลิตภาพแรงงานจากการจ้างบุคลากรที่ไม่สามารถทำงานได้ตรงตามศักยภาพของของตน ปัญหาการลาออกและการขาดแคลนแรงงาน ค่าเสียโอกาสของการเรียนในบุคคลนั้นๆ ที่ไปเลือกเรียนในสาขาที่ไม่ตรงตามสายงานในอนาคต หรือแม้กระทั่งการสิ้นเปลืองงบประมาณทางการศึกษาหมดไปกับการผลิตบัณฑิตที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน
งานศึกษาวิจัยของผมชิ้นหนึ่งที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ใช้ข้อมูลสำรวจ ภาวะการทำงานของแรงงานไทย (Labor Force Survey) ในปี 2555 เพื่อประเมินหาปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมต่อความไม่สอดคล้องทางการศึกษาทั้งในแนวดิ่งและแนวราบดังกล่าว โดยพบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดแรงงานในต่างประเทศแล้ว ประเทศไทยมีระดับของความไม่สอดคล้องทางการศึกษาค่อนข้างสูงคือประมาณ 36% สำหรับความไม่สอดคล้องในแนวดิ่ง และประมาณ 40% สำหรับความไม่สอดคล้องในแนวราบ
ความไม่สอดคล้องในแนวดิ่งจะเกิดขึ้นมากที่สุดกับบัณฑิตที่จบการศึกษาในระดับสูงอย่างปริญญาโท (91%) และปริญญาเอก (65%) โดยเฉพาะจากสาขาทางด้านสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ในขณะที่ความไม่สอด
คล้องในแนวราบจะเกิดมากที่สุดในระดับอาชีวศึกษา (51%) กับบัณฑิตที่จบในสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ โดยสาขาวิทยาศาสตร์สุขภาพเป็นสาขาที่ประสบปัญหาความไม่สอดคล้องทั้งสองแบบนี้ต่ำที่สุด
งานศึกษายังวิเคราะห์ต่อไปอีกว่า ความไม่สอดคล้องของการศึกษาจะส่งผลทางลบต่อผลลัพธ์ของตลาดแรงงานของบัณฑิตคนนั้นๆ โดยพบว่า ผู้ที่ประสบปัญหาความไม่สอดคล้องในแนวราบจะมีรายได้ต่ำกว่าผู้ที่ประกอบอาชีพสอดคล้องกับการศึกษาประมาณ 7.2% ในขณะที่บัณฑิตที่ประสบปัญหาความไม่สอดคล้องในแนวดิ่งจะมีรายได้ต่ำกว่าผู้ที่ประกอบอาชีพที่สอดคล้องถึง 18%
ในเชิงนโยบายจึงเป็นสิ่งที่ภาคการศึกษาจำเป็นต้องส่งเสริมระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning Framework) ที่เปิดโอกาสให้แรงงานที่ทำงานไม่ตรงสาขา (หรือต่ำกว่าสาขา) ได้มีโอกาสในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะเพิ่มเติมในระหว่างการทำงานมากขึ้น ภาครัฐควรสนับสนุนให้เกิดหลักสูตรที่สร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยกับภาคอุตสาหกรรมให้มากยิ่งขึ้น (Industry-University Linkages) โดยสนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนบุคลากรกันระหว่างภาคเอกชนกับสถาบันการศึกษา เพิ่มบทบาทให้นิสิตนักศึกษาได้มีโอกาสในการฝึกอบรมจากการปฏิบัติงานจริง รวมไปถึงเปิดโอกาสให้สามารถเทียบหน่วยกิตจากการฝึกอบรมนั้นมาสู่เกรดของรายวิชาได้
ในระบบการเรียนการสอนปัจจุบัน นักศึกษาควรจะได้รับการสนับสนุนให้เรียนในลักษณะของสหสาขาวิชา (Multidisciplinary Approach) มากขึ้น เพื่อให้นักศึกษาได้รับความรู้เชิงกว้างในการศึกษาสาขาต่างๆ ซึ่งมีผลอย่างมากในการทำให้นักศึกษาสามารถเชื่อมโยงความรู้จากสาขาต่างๆ และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ควรแก้ไขปัญหาความไม่สอดคล้องตั้งแต่ระบบแนะแนวในโรงเรียนก่อนที่นักศึกษาจะเลือกคณะ โดยควรสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพที่สามารถแนะแนวสาขาการเรียนต่อได้ตรงตามบุคลิกภาพและความสนใจของนักเรียนคนนั้น โดยในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ๆ เข้ามาช่วย เช่น ระบบการให้ทำข้อสอบจิตวิทยา หรือระบบ Finger Scan เพื่อให้นักเรียนสามารถรับทราบความถนัดของตนเองเพื่อที่จะสามารถเลือกเรียนในสาขาวิชาที่ตัวเองถนัดได้อย่างเหมาะสม
โดยภาพรวม ประเทศไทยควรมีการกำหนดสาขาการทำงานที่ต้องการให้ชัดเจนที่จะส่งผลต่อแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศชาติ และเชื่อมสาขาอาชีพที่ต้องการนั้นไปสู่สถาบันการศึกษาที่ต้องการผลิตบุคลากรให้ตรงตามสาขาความต้องการ ทั้งนี้สาขาที่ต้องการไม่จำเป็นต้องผลิตออกมาในรูปแบบเดียวกันหมด และควรสอดคล้องกับความต้องการที่ลงลึกไปในระดับชุมชน
นอกจากนี้ ควรจำแนกบทบาทหน้าที่ของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งให้ชัดเจน เช่น มหาวิทยาลัยที่เน้นการเรียนการสอนในระดับปริญญาขั้นสูง (เช่น ปริญญาโทและเอก) ต้องเน้นการวิจัยในระดับสากล หรือเป็นมหาวิทยาลัยที่เน้นด้านการสอนเพื่อออกไปทำงาน โดยอาจารย์ผู้สอนควรมีประสบการณ์ในการทำงานมาจากภายนอก หรือเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาคนในท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งแต่ละประเภทย่อมมีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกัน ซึ่งจำเป็นต้องมีตัวชี้วัดที่ยืดหยุ่นและแตกต่างกัน
ในท้ายที่สุด สาเหตุของความไม่สอดคล้อง (ทั้งในแนวราบหรือแนวดิ่ง) ล้วนเกิดจากการที่สังคมได้ให้คุณค่ากับใบปริญญามากกว่าทักษะที่แรงงานคนนั้นๆ มี ดังนั้นภาคนายจ้างสามารถเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงที่สะท้อนระดับทักษะแรงงานที่ตนต้องการ และกำหนดเงินเดือนและผลตอบแทนที่อ้างอิงไปกับระดับทักษะการทำงานให้มากยิ่งขึ้น


