สมองเล่นกลตลอดเวลา
“สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น” เรามักเชื่อว่าการรับรู้ของเราสามารถแยกแยะระหว่างสิ่งลวงตาและความเป็นจริง
“สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น” เรามักเชื่อว่าการรับรู้ของเราสามารถแยกแยะระหว่างสิ่งลวงตาและความเป็นจริง โดยเฉพาะการรับรู้ที่สำคัญที่สุดอย่างการมองเห็น แต่การรับรู้สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเราไม่มีทางสะท้อนความเป็นจริงได้แม่นยำอย่างที่เราคิด สมองทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนและบิดเบือนทุกสิ่งที่เราเห็น แต่เราก็ควรดีใจ เพราะหากสมองไม่มีกลไกเช่นนี้ การมองเห็นของเราก็คงจะไม่มีประสิทธิภาพดังเช่นที่เป็นอยู่
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังดูวิดีโอที่คนหกคนกำลังเล่นบาส เกตบอล ทีมหนึ่งใส่เสื้อสีขาว และอีกทีมหนึ่งใส่เสื้อสีดำ เรามีกติกาอยู่ว่า คุณจะต้องคอยนับจำนวนครั้งของการส่งลูกบาสระหว่างผู้เล่นในทีมเสื้อสีขาว จากนั้นอยู่ดีๆ ก็จะมีคนสวมชุดกอริลลาเดินเข้ามาตีอกชกตัวอยู่ในสนามบาส กอริลลาปลอมตัวนี้จะปรากฏกายเพียง 9 วินาทีเท่านั้น คุณว่าคุณจะสังเกตเห็นมันหรือไม่การทดลองที่มีชื่อเสียงนี้เป็นของแดเนียล ไซมอนส์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐอเมริกา ผลที่น่าตกใจก็คือ กว่าครึ่งของผู้เข้าร่วมการทดลองไม่ทันสังเกตการปรากฏตัวของกอริลลา เพราะพวกเขามัวแต่จับจ้องนับจำนวนครั้งการส่งต่อลูกบาสตามคำสั่งที่ให้ไว้ในตอนแรก
เรามักจะเชื่อในสิ่งที่เราเห็น แต่น้อยครั้งนักที่การรับรู้สิ่งแวดล้อมรอบตัวเราจะแม่นยำและเที่ยงตรงอย่างที่เราคิด หลายๆ ครั้งที่มีบางอย่างหลุดรอดความสนใจของเราไปเหมือนกัน ดังที่ปรากฏในการทดลองเรื่องกอริลลา และเป็นไปได้ด้วยที่เราอาจจะมองเห็นและคิดว่าเห็นในสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ
มาร์คัส ไรเคิล (MarcusRaichle) นักประสาทวิทยา รายงานผลจากการทดลองว่าทุกๆ วินาที จอประสาทตา (Retina) จะรับข้อมูลที่มีขนาด 1 กิกะไบต์ แต่มีข้อมูลเพียงร้อยละ 0.06 ที่จะเดินทางไปถึงสมอง แม้จะฟังดูไม่มาก แต่ข้อมูลเพียงเล็กน้อยนี้ก็มากเกินกว่าที่สมองจะรับไหว ดังนั้น ข้อมูลส่วนใหญ่จะถูกคัดกรองออกจนมีเพียงหนึ่งในล้านส่วนเท่านั้นที่สมองนำไปใช้ประโยชน์ ระหว่างการเดินทางของข้อมูลจากดวงตาสู่สมองจนกลายเป็นความนึกคิด ยังมีหลุมพรางความคิดที่คอยดัดแปลง ปรับเปลี่ยน และตีความสิ่งที่เรามองเห็นอย่างผิดๆ โดยปกติพวกเราก็มักจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากำลังถูกสมองเล่นกลอยู่ นักวิทยาศาสตร์เรียนรู้กลไกเบื้องหลังการเกิดภาพลวงตา และใช้มันเพื่อทำความเข้าใจการทำงานของสมอง
วิดีโอเผยกลไกเกิดภาพ ลวงตา
กว่า 100 ปีมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ใช้ภาพลวงตาอย่าง “แจกันของรูบิน” เพื่อศึกษาการทำงานของสมอง ในปัจจุบันเมื่อนักวิทยาศาสตร์ประยุกต์เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาก็สามารถทำให้พวกเราเข้าใจการทำงานของภาพลวงตา เช่น ภาพ “งูเลื้อยวน” (หน้า 34) ได้ชัดเจนขึ้น
ภาพลวงตามีหลากหลายรูปแบบ แต่มักจะอยู่ในรูปของวงกลมหลากสีหลายๆ วงวางซ้อนกัน เมื่อมองดูจะเห็นเป็นวงกลมที่เคลื่อนไหวได้ ทั้งๆ ที่ความจริงไม่ใช่เลย
ในปี 2012 ซูซานา มาร์ติเนซ-กอนเด นักประสาทวิทยา จากสถาบันประสาทวิทยาแบร์โรว์ ในสหรัฐอเมริกา ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองมองภาพลวงตา “งูเลื้อยวน” และอัดวิดีโอการเคลื่อนไหวของดวงตาพวกเขาไปด้วย นักวิทยาศาสตร์พบว่า มีการเคลื่อนไหวของดวงตาในระดับเล็กมากๆ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่า “ไมโครแซคเคด” (Microsaccade) เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเกิดภาพลวงตานี้ โดยการเรียงสีสลับกันจนกลายเป็นภาพที่มีความแตกต่างระหว่างความมืด-สว่างมาก ทำให้ดวงตาต้องเคลื่อนไหวถี่มากกว่าปกติ เพื่อปรับให้ภาพที่เรามองเห็นมีความคมชัดตลอดเวลา แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แสงที่สะท้อนจากภาพและมาตกกระทบบนจอประสาทตาก็มีการเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ตลอดเวลาไปด้วย จนทำให้สมองถูกหลอกว่ามีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ต่อมาเมื่อดวงตาของผู้เข้าร่วมกลับมาเคลื่อนไหวอย่างปกติภาพลวงตาที่เกิดขึ้นก็หายไป
ภาพลวงตาอื่นๆ สามารถเล่นกลกับสมองของเราได้เช่นกัน เช่น เทคนิคการวาดภาพที่เรียกว่า “ทัศนมิติแบบกลับทาง” ซึ่งวัตถุที่อยู่ไกลจะถูกวาดให้มีขนาดใหญ่ (เช่น รูปภาพกล่องที่อยู่ในกรอบมุมบนขวาของหน้าที่แล้ว) เทคนิคนี้ตรงกันข้ามกับ “ทัศนมิติเชิงเส้น” ซึ่งวัตถุที่อยู่ไกลจะถูกวาดให้มีขนาดเล็ก การสร้างภาพด้วยเทคนิคทัศนมิติแบบกลับทางอาจทำให้เรารู้สึกว่าสามารถมองเห็นกล่องได้จากทั้งข้างในและข้างนอกในเวลาเดียวกัน
ในปี 2007 นอร์แมน คุก นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยคันไซในญี่ปุ่น ศึกษากิจกรรมของสมองในระหว่างที่ผู้เข้าร่วมการทดลองกำลังมองภาพลวงตาแบบต่างๆ เขาสามารถระบุตำแหน่งของสมองที่จะทำงานเป็นพิเศษหากเกิดความลังเลในการตัดสินใจในสิ่งที่มองเห็น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสมองของเรากำลังตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางขณะที่เรายืนอยู่ในห้อง บริเวณหนึ่งที่อยู่ทางด้านบนของสมองจะทำหน้าที่สร้างแผนที่ในสมองเปรียบเทียบตำแหน่งของเรากับสิ่งที่อยู่รอบๆ และอีกบริเวณหนึ่งอยู่ในซีรีเบลลัม หรือ “สมองน้อย” ทำหน้าที่ควบคุมทิศทางการเคลื่อนไหวของเรา
เส้นตรงที่ดูเหมือนจะเอียง
หน้าที่พื้นฐานอย่างหนึ่งของศูนย์กลางการมองเห็น คือ การระบุแยกแยะองค์ประกอบของสิ่งที่เรารับรู้ผ่านทางสายตา สมองจะทำให้ภาพวัตถุโดดเด่นขึ้นมาจากพื้นหลัง แม้ว่าพื้นหลังอาจเป็นสิ่งที่ดูไม่น่าสนใจ แต่มันก็เป็นจุดอ้างอิงสำคัญที่สมองใช้ในการเคลื่อนไหวกำหนดทิศทาง ระบุสีสัน และความแตกต่างระหว่างวัตถุและพื้นหลัง นักวิทยาศาสตร์พบว่า ภาพลวงตาบางอย่างทำให้สมองของเราสับสนและเห็นภาพวัตถุที่แตกต่างไปจากความเป็นจริง เพราะอิทธิพลของพื้นหลัง
ในปี 2012 อิสซาเบล แมร์ชาล (Isabelle Mareschal) จากมหาวิทยาลัยแห่งซิดนีย์ในออสเตรเลีย ได้ให้ผู้เข้าร่วมการทดลองมองภาพลวงตาที่มีเส้นตรงสองเส้นอยู่ตรงกลางพื้นหลังที่เป็นแนวเส้นเฉียงภาพลวงตานี้ทำให้แนวเส้นตรงดูคล้ายกับเอียง การทดลองนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจความสัมพันธ์ของวัตถุและภาพพื้นหลังมากขึ้น หากแนวเส้นเฉียงในภาพพื้นหลังทำมุมที่เอียงเพียงเล็กน้อย เส้นตรงก็จะดูเอียงเล็กน้อยไปในทิศทางตรงกันข้าม แต่เมื่อแนวเส้นเฉียงในภาพพื้นหลังทำมุมเอียงมากพอ เส้นตรงก็จะเอียงไปในทิศทางเดียวกันกับแนวเส้นเฉียงในภาพพื้นหลัง ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายว่าทำไมสมองตีความภาพลวงตาเช่นนั้น
สับเปลี่ยนคนโดยไม่รู้ตัว
ภาพลวงตาไม่เพียงแต่ทำให้สมองบิดเบือนความเป็นจริง ทำให้เรากังขาหรือแม้แต่เห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่ยังอาจทำให้เรา “ตาบอด” ได้อีกด้วย คำว่าตาบอดในที่นี้หมายถึงเรามองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว อาจจะเพราะเราไม่ได้ตั้งใจสังเกต หรือใช้ความทรงจำ เราเองจดจำรายละเอียดได้น้อยกว่าที่เราคิดมาก และเราก็มักจะไม่ทันได้สังเกตเวลาที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น สิ่งนี้อาจเป็นอันตรายหากว่าเราไม่สังเกตรถที่วิ่งอยู่บนท้องถนนเพียงเพราะเปิดวิทยุฟัง นักมายากลและนักล้วงกระเป๋าสามารถใช้มืออีกข้างหนึ่งเบี่ยงเบนความสนใจของเราระหว่างที่เขาใช้มืออีกข้างล้วงกระเป๋าเงินของเราก็เป็นได้
เพื่อทดสอบว่าในชีวิตประจำวันเราไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งรอบข้างมากแค่ไหน นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยให้ผู้เข้าร่วมการทดลองแต่ละคนพบกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ ซึ่งจะขอให้พวกเขาช่วยกรอกแบบสอบถาม จากนั้นพนักงานที่เคาน์เตอร์จะขอตัวไปห้องที่ด้านหลังเพื่อค้นข้อมูลเพิ่มเติม
การทดลองนี้ต้องการทดสอบความใส่ใจกับสิ่งรอบข้างของผู้เข้าร่วมการทดลอง เพราะพนักงานคนที่กลับออกมาจากด้านหลังจะเป็นคนละคนกับคนแรก เมื่อนักวิทยาศาสตร์สอบถามผู้เข้าร่วมการทดลองว่ามีใครสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงไหม มีคนเพียงร้อยละ 25 เท่านั้นที่ตอบได้ถูกต้องเรามักเคยเชื่อในสิ่งที่มองเห็นเสมอ แต่หลังจากอ่านบทความนี้ เมื่อมีคนบอกคุณว่า “ฉันเห็นมันมากับตาเลยนะ” คุณก็ควรจะสงสัยให้มากกว่าเดิม จริงไหม?
การรับรู้ที่หลอกลวง
การมองเห็นไม่ใช่เป็นเพียงการรับรู้เดียวที่หลอกลวงเราได้ การรับรู้ผ่านทางอื่นก็บิดเบือนความเป็นจริงได้เหมือนกัน แม้ว่ามันอาจทำให้เราได้ยิน ได้กลิ่น หรือมองเห็นดีขึ้น แต่บางครั้งมันก็เล่นกลกับเราเอง
การได้ยิน - สมองช่วยเติมเต็มประโยค
การได้กลิ่น - เราไม่รู้จักกลิ่นของตัวเอง
การลิ้มรส – เกลือแร่เก่ารสชาติเหมือนของใหม่
การสัมผัส - จมูกที่ไม่อยู่กับเรา


