posttoday

‘หัวใจพระพุทธศาสนา’ (4) พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม

30 สิงหาคม 2558

พระพุทธเจ้าโคตมะ สร้างบารมีสี่อสงไขยแสนมหากัปป์ มาอุบัติบังเกิดขึ้นในโลก สอนมนุษย์และเทวดา อุบาสก อุบาสิกา

โดย...สมาน สุดโต

พระพุทธเจ้าโคตมะ สร้างบารมีสี่อสงไขยแสนมหากัปป์ มาอุบัติบังเกิดขึ้นในโลก สอนมนุษย์และเทวดา อุบาสก อุบาสิกา เอาลูกชายมาถวายเป็นลูกศิษย์ชั้นที่หนึ่ง พระยาอำมาตย์หกหมื่นสี่พันได้เป็นพระอรหันต์ชั้นที่สอง สามหมื่นสามพัน ชั้นที่สาม สองหมื่นสี่พัน มีกาฬุทายีอำมาตย์ในวงศ์กบิลพัสดุ์ เป็นอรหันต์หมดทั้งสิ้น

นางภิกษุณีมีผัวแล้ว มีลูกตั้งสองตั้งสาม ก็ยังได้เป็นพระอรหันต์ และนางสาวพรหมจารี บวชเป็นสามเณรี เมื่ออายุครบ 20 ก็มอบให้นางโคตมีผู้เป็นแม่น้า นางยโสธราพิมพาเป็นอุปัชฌาย์ บวชเป็นนางภิกษุณีทั่วไปในสิบหกพระนคร ได้เป็นอรหันต์ก็มาก

เมื่อพระองค์นิพพานไปแล้วได้สามพรรษา พระมหากัสสปะได้นิมนต์พระสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ให้ชาวไทยของเรา ที่ อ.เมืองธาตุพนม จ.นครพนม เวลานี้ พระเจ้าพระยาจันทร์ เป็นเจ้าเมืองสกลฯ ซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

เวลานั้นมีโยมผู้หญิงคนหนึ่งอายุได้ 18 ปี ได้ไปบวชเป็นนางชีหรือแม่ขาว สมัยก่อนนั้นคุณพ่อของแกได้ไปบวชเป็นลูกศิษย์พระกัสสปะ ได้เป็นถึงพระอนาคา คุณพ่อของแกได้ไปเกิดเป็นพรหม ส่วนลูกสาวอยู่สวรรค์ชั้นหก เมื่อเสื่อม (ถึงเวลาจุติ) ได้ลงมาเกิดในเมืองเก่า เกิดมาชาตินี้ได้เป็นพี่สาวใหญ่ มีน้องสาว 5 คน น้องชาย 5 คน ส่วนพี่สาวใหญ่ได้รักษาศีลแปดเป็นประจำตลอดชีวิต ธรรมของเก่ายังไม่ลืม คัมภีร์รัตนสูตร อิทัมปิ พุทเธ รัตตนะนัง มงคลสูตร เรียกว่า มาตา ปิตุฯ ธรรมจักร สวรรค์หก พรหมสิบหก

เวลานี้คุณยายก็ตายไปแล้ว เมื่อคุณยายยังไม่ตาย คุณยายเคยเข้าฌาน แล้วคุณพ่อที่เป็น พระอนาคา อยู่ชั้นสุทธาวาส ส่งวิญญาณทิพย์ จิตทิพย์ ลงมาสอนลูกสาวได้

ส่วนลูกสาวก็มีตาทิพย์ หูทิพย์ ใจก็ทิพย์ ก็รับกันได้

นี้แหละนักธรรมนักกัมมัฏฐาน ผู้ที่ปฏิบัติจริง ทำจริงแล้ว ย่อมเห็นอยู่ที่ใจของตนเอง (ตรงกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในข้อที่ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยาฯ ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ ใจเป็นใหญ่เป็นประธาน วิญญาณ (ใจ) เป็นรากฐานของสิ่งทั้งปวง)

ที่สอง แม่ของท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ พอถึงวันแปดค่ำ ก็นุ่งขาวห่มขาว แต่วันธรรมดาก็นุ่งดำเหมือนชาวบ้าน เมื่อจะถึงแก่กรรมได้ภาวนาอยู่ในห้อง จำศีลภาวนาอยู่ตลอดวัน ได้ยินเสียงทางหูว่า “อีนายขึ้นมาเถิด” คุณยายก็ตอบว่า “รอก่อนๆ” อยู่อย่างนี้ พูดอยู่คนเดียว ฝ่ายลูกสาวสงสัย จึงให้หลานสาวไปกราบเรียน ทูลท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ก็บอกความให้หลานสาวไปหาน้องชายหล้า (น้องสุดท้อง) คือ ท่านเจ้าคุณศีลวรคุณ

เมื่อเจ้าคุณศีลวรคุณได้ทราบแล้ว ก็จุดธูปจุดเทียนไหว้พระพุทธรูป ไหว้พระธาตุ ตั้งสัจจะอธิษฐาน ขอบุญกุศลไปช่วยคุ้มครองรักษาวิญญาณของคุณแม่ เสร็จแล้วจึงลงวัดไป เมื่อไปถึงแล้วก็ถามตามภาษาภาคอีสาน ว่า “แม่ออกเว้าอีสัง เว้ากับไผกางคืนมาเว้าอยู่อุ้มๆ คนเดียวบ่แม่น แม่ออกเผลอบ่” (คุณแม่พูดกับใครรึ ในตอนกลางคืนพูดอยู่พึมพำๆ คนเดียวใช่ไหม? คุณแม่ไม่รู้สึกตัวใช่ไหม?)

ส่วนคุณแม่ก็ตอบว่า “เจ้าคุณลูกเอ๋ย แม่ออกบ่เผลอหลอก แม่ออกเว้ากับแม่เฒ่าใหญ่ คือ นางสุชาดากับนางวิสาขา เขามาเอิ้นแม่ออกไป แม่ออกก็เลยบอกเขาว่ายังไม่ไปเทื่อ เขาก็ยังมาเอิ้นอยู่เสมอๆ เขายังบอกว่าลูกของอีนายได้บวชค้ำชูศาสนาดีทุกคนแล้ว ลูกชายดีมากกว่าอีนาย

แม่ออกเว้ากับแม่เฒ่าใหญ่ ก่อนเจ้าหัวลูกจะมาหาแม่ออก เจ้าหัวลูกได้จุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูป บูชาพระเจดีย์ บูชาพระบาท ได้อธิษฐานขอบุญ ผู้ข้าที่ได้บวชแล้วนี้จงไปช่วยแม่ออกผู้ข้า อย่าให้ตาย เจ้าคุณลูกว่าอันใด แม่ออกฮู้อยู่ที่นี่และเจ้าคุณลูกเอ๋ย เดือนสิบเอ็ด ออกห้าค่ำ แม่เฒ่าใหญ่ นางสุดาและนางสุธรรมมา จะเอาอู่คำมารับเอาออกแล้ว”

พอถึงเดือนสิบเอ็ด ออกห้าค่ำ คุณยายก็อาบน้ำชำระกาย นุ่งขาวห่มขาว รับอาหารข้าวต้มประมาณสี่ช้อนห้าช้อนเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าภาวนา ใจก็ไปสวรรค์ ขันธ์ทิ้งไว้ พอถึงวันแปดค่ำก็เอาศพของคุณยายไปเผาจี่เรียบร้อยแล้ว

ส่วนโยมพ่อของท่านเจ้าคุณ ก็นุ่งขาวห่มขาวไปเผาศพของคุณยายด้วย พอกลับมาสามทุ่มเศษ พ่อเฒ่าพ่อของท่านเจ้าคุณก็สั่งว่า “ลูกหลานเอ๋ย แม่เฒ่าสูไปแล้ว กูจะไปตามแม่เฒ่าสูเน๋อ” พวกลูกหลานก็ถามพ่อเฒ่าว่าจะไปที่ไหน ตอบว่า “กูจะไปอยู่ป่าช้า คือตายละสู ไปคืนนี้แหละ”

พวกลูกหลานก็ว่า “บ่แม่น พ่อเฒ่าเว้าเล่นบ่ หรือเว้าหยอกหลานสาวบ่” พ่อเฒ่าย้ำอีกว่า “กูบ่เคยบอกสูว่าอย่างนั้น” พอแจ้งสว่าง (เช้าตรู่อรุณรุ่งรางสว่างแสง) ขึ้น ลูกหลานไปดูก็เห็นพ่อเฒ่านั่งในท่าภาวนาหมอบติดอยู่กับหมอน เดือนสิบเอ็ด ออกห้าค่ำ ถ้าจะว่าตามโลกเรียกว่าตายเอาใจไปสวรรค์ แต่ขันธ์ตัวตายวันแปดค่ำ พ่อของท่านเจ้าคุณตาย แต่ใจไปสวรรค์ ความอันนี้ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านเป็นผู้เล่าให้อาตมาฟังเอง

มารดาของครูอาจารย์มั่น ปฏิบัติศีลแปดอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ นั่งก็ภาวนา นอนก็ภาวนา ได้สามวันสามคืน ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ก็เข้าฌานช่วย ฤทธิ์ของมารดาก็กลับคืนมาได้ ท่านอาจารย์จึงถามมารดา มารดาตอบว่า นางภิกษุณีนางโคตมี นางอุบลวรรณาเถรีภิกษุณี นางโสธราพิมพาภิกษุณีได้มาเยี่ยม นับตั้งแต่นี้ไปอีกยี่สิบวัน แม่ออก (หมายถึงโยมมารดาท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ) จะได้ละขันธ์ ถึงเวลานั้น พอครบวันที่ยี่สิบ แม่ออกของท่านอาจารย์ ก็ทิ้งขันธ์ ตามที่แม่ออกกล่าวไว้นั้นจริงๆ

อันนี้จึงเป็นเครื่องแสดงว่า แม่ออกของท่านอาจารย์ เอาจิตไปพระนิพพาน พ้นจากพรหมโลก เรื่องนี้ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ท่านก็เล่าให้อาตมาฟังด้วยเหมือนกัน

ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา ก็เคยมีเรื่องเล่าไว้เป็นหลักฐาน ดังนั้นจึงขอให้พวกนักปราชญ์และนักธรรมนักกัมมัฏฐานจงยกใจของตนเองทุกๆ องค์ ทุกๆ คนให้เป็น “พระพุทโธ” ให้เป็น “พระธัมโม” “พระสังโฆ”

เมื่อใจของพระคุณเจ้าทั้งหลายได้พระพุทโธ สวรรค์หกเกิดจากพระพุทโธ พรหมสิบหกเกิดจากพระธัมโม ชั้นสุทธาวาสเกิดจากพระสังโฆ ที่สุดวิญญาณคับแค้นใจ (หมายถึงจิตรวมแน่วแน่ดีแล้ว) ก็เข้าพระนิพพาน

ข้าพเจ้าอาตมภาพพระอาจรย์ตื้อ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ขอถวายไว้เป็นพุทธปูชา ธรรมปูชา สังฆปูชา แด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์ พระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อพระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ได้บัญญัติศีลห้า บัญญัติศีลแปด บัญญัติศีลสิบ บัญญัติศีล 227

บัญญัติสวรรค์หก พรหมสิบหก พระไตรสรณคมน์ ถวายไว้แก่อุบาสก อุบาสิกา ศรัทธาทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งน้อย ทั้งใหญ่ ทั้งบ่าว ทั้งสาว บุคคลผู้ใดรับศีลห้าได้ ก็เป็นญาติของพระพุทธเจ้า

ถ้าหากรับไม่ได้ ก็เป็นธรรมดา (ยังอยู่ในโคตรปุถุชน) ถ้าผู้ใดรับศีลแปด ก็เป็นโยมของพระพุทธเจ้า ถ้าหากผู้ใดยังรับไม่ได้ก็เป็นธรรมดาไป

ถ้าผู้ใดรับศีลสิบได้ ต้องมีครูมีอาจารย์ จะบวชเป็นสามเณร ต้องบวชโดยมีครูมีอาจารย์ บวชเป็นพระภิกษุ จะต้องมีพระอุปัชฌาย์ กรรมวาจาจารย์

ถ้าเราบวชเอาคนเดียวนั้นไม่ได้ จะสึกเอาคนเดียวอีกก็ไม่ได้ ต้องสิกขาลาเพศ ลาครูบาอาจารย์เสียก่อนจึงสึกได้ และถูกต้องตามพุทธบัญญัติ

ถ้าสึกคนเดียว บวชคนเดียว ท่านว่าจะไปเป็นเสี่ยว (เพื่อน) กับเทวทัตต์ จะไปอยู่อเวจีมหานรก ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

เป็นมนุษย์นี้ดีที่สุด เราต้องการอะไรได้ทั้งนั้น อยากกินข้าวก็มีกิน อยากกินน้ำก็มีกิน เราอยากทำบุญหรือทำบาป ก็ได้ทั้งนั้น

ถ้าเราไปอยู่อเวจีมหานรกแล้วไม่มีข้าวไม่มีน้ำกิน กินแต่ไฟ (หมายถึงไฟราคะ โทสะ โมหะ) เป็นอาหาร เมื่อใจกินไฟแล้ว ตา หู ปาก ลิ้น ตลอดทั้งร่างกาย มีแต่ไฟลุกไหม้อยู่ตลอดเวลา ไม่มีวันที่จะดับลงได้ ภาษาบาลีว่า กุปปะธัมโม กุปปะธัมโม เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่อย่างนี้ ในโลก (โลกียะ) อันนี้ นับล้านนับแสนปีก็ยังหลุดพ้นไม่ได้

ในคัมภีร์มหาปัจวี กล่าวไว้ว่า นางเทพยดามาชมดอกปาริชาต เผลอพลาดตกลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในเมืองมนุษย์ คือเมืองลังกาทวีป เป็นลูกสาวมหาเศรษฐี ธนัญไชยเศรษฐีใหญ่ เมื่อเติบโตแล้วได้สามีอย่างมนุษย์เรา ได้ลูกสาว 5 คน ลูกชาย 5 คน

เมื่อใหญ่ (เจริญวัย) แล้ว ได้พร้อมกันกับลูกสาวหลานชายสร้างวัดขึ้นใหม่ ใส่ชื่อว่า เชตวนาราม บวชลูกบวชหลานอายุของคุณยายนั้นได้ถึง 100 ปี เอาวิญญาณไปสวรรค์ถึงต้นไม้ปาริชาต

ทางเทพยดาเจ้าก็ถามนางว่าคุณพี่ไปไหนมา คุณยายก็ตอบว่า ไปลังกาทวีปอายุได้ 100 ปีแล้ว จึงขึ้นมา เป็น 3 นาทีของสวรรค์

100 ปีของมนุษย์เป็น 1 ชั่วโมงในสวรรค์ 1,000 ปีของมนุษย์เป็น 2 ชั่วโมงของเมืองสวรรค์

1 ชั่วโมงในสวรรค์ เป็น 1 นาทีในนรก 2 ชั่วโมงในสวรรค์ เป็น 2 นาทีในนรก นี้แหละ นักธรรมเจ้าทั้งหลาย

ข่าวล่าสุด

Adobe Firefly รวมพลังโมเดลสร้างวีดีโอ สู่การใช้งาน Runway