ระเบิดราชประสงค์ไม่ใช่ "อุยกูร์" แต่น่าเป็นเรื่องในประเทศ
กรณีของชาวอุยกูร์ไม่น่าจะเป็นมูลเหตุจูงใจให้เกิดการลอบวางระเบิดกลางกรุง
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ภายหลังเกิดเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ มีการวิเคราะห์ถึงกลุ่มผู้ก่อเหตุหลากหลายทิศทาง แต่ที่มีการพูดถึงกันมากก็คือ อาจมีความเกี่ยวโยงกับกรณีรัฐบาลส่งตัว “ชาวอุยกูร์” กลับไปให้ประเทศจีน
ในมุุมมองของนักวิชาการด้านตะวันออกกลางศึกษา อย่าง จรัญ มะลูลีม อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลับมองว่า กรณีของชาวอุยกูร์ไม่น่าจะเป็นมูลเหตุจูงใจให้เกิดการลอบวางระเบิดกลางกรุง
“จากการศึกษาขอบเขตการก่อเหตุของอุยกูร์จะอยู่ในเอเชียกลาง ซินเจียง ยูนนาน และการส่งตัวชาวมุสลิมอุยกูร์กลับก็ไม่ใช่ไทยทำประเทศเดียว” จรัญ ให้เหตุผล พร้อมอธิบายว่า ก่อนหน้านั้น ประเทศมาเลเซีย กัมพูชา ปากีสถาน ก็เคยส่งชาวอุยกูร์กลับให้จีน แต่ไม่มีเหตุการณ์อะไร
อย่างกรณีที่มีการกล่าวหาว่าชาวอุยกูร์ไปสมทบกับกลุ่มไอเอส “จรัญ” วิเคราะห์ว่า เป็นไปได้อยาก นั่นเพราะปัจจุบันไอเอสกับตุรกีเป็นปรปักษ์กันอย่างรุนแรง ถึงขนาดที่ตุรกียอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพเพื่อทำลายไอเอส
อาจารย์จรัญ ฉายภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ผู้ก่อเหตุเลือกเป้าหมายในลักษณะซอฟต์ทาร์เก็ต คือเป้าหมายอ่อน อย่างศาสนสถานศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์เนื่องจากอยู่นอกเหนือการจับตาของหน่วยความมั่นคง หรือในจังหวัดชายแดนใต้ระยะหลังก็เริ่มมีการก่อเหตุในมัสยิดและวัดมากขึ้น ดังนั้นหน่วยงานด้านความมั่นคงไทยจำเป็นต้องเพิ่มเรื่องนี้เข้าไปได้ด้วย
“เมื่อมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะพบว่าเหตุการณ์ระเบิดลูกสองบริเวณสะพานตากสินได้ลบล้างทฤษฎีชายแขกขาวจากกล้องวงจรปิดไปแล้ว ถามว่าระเบิดลูกสองคืออะไร ส่วนตัวให้น้ำหนักว่าเป็นเรื่องภายใน แต่อาจทำให้เห็นว่าเป็นคนนอกทำ” จรัญ วิเคราะห์
ขณะที่ พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ในฐานะผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เชื่อมั่นว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ หรือแม้แต่ความขัดแย้งภายในกองทัพในการแต่งตั้งโยกย้ายโผทหาร
เหตุผลที่ทำให้ พล.อ.เอกชัย เชื่อเช่นนั้น ก็เพราะไม่มีเหตุผลหรือประโยชน์ใดๆ ที่ทั้งสองกลุ่มนี้จะได้รับจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเชื่ออีกว่าการเมืองไทยถึงจะขัดแย้งกันอย่างไร ย่อมจะไม่มีวันกระทำการที่รุนแรงโหดร้ายเช่นนี้ได้
สิ่งที่น่าสนใจในเหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้ คือ ไม่ใช่การสร้างสถานการณ์หรือเพียงทำให้คนตื่นกลัวเท่านั้น แต่การก่อเหตุครั้งนี้ชัดเจนว่าผู้ก่อเหตุมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายสังหารคนให้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก มีการวางแผนเลือกวัน เวลา และสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน ซึ่งจะทำให้คนล้มตายจำนวนมาก
พล.อ.เอกชัย กล่าวอีกว่า ยังไม่อยากด่วนสรุปว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะเชื่อมโยงกับประเด็นชาวอุยกูร์ เพราะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนในความเชื่อมโยง ยิ่งวิพากษ์วิจารณ์ไปก่อนล่วงหน้าจะยิ่งสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทย และความสัมพันธระหว่างประเทศ
แหล่งข่าวจากด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า ภายใน 2-3 วันนี้ จะสามารถหาตัวผู้ต้องสงสัยได้ เนื่องจากในพื้นที่กรุงเทพมหานครบริเวณแยกราชประสงค์ถือเป็นจุดที่มีกล้องวงจรปิด หรือซีซีทีวี จำนวนมากและทันสมัยที่สุด
สำหรับสมมติฐานเรื่องความเชื่อมโยงกับกรณีชาวอุยกูรณ์นั้น ในเชิงสมมติฐานมีความเป็นไปได้ แต่ถามว่าเหตุจูงใจในการก่อเหตุ และผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังจะเป็นใคร เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่ากลุ่มอุยกูร์จะเคลื่อนไหวในเฉพาะพื้นที่ซินเจียง ประเทศจีนเท่านั้น ไม่ได้ขยายอิทธิพลออกนอกประเทศ
หรือตามที่มีการวิเคราะห์ว่าอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนใต้ ก็พบว่ารูปแบบการก่อเหตุแตกต่างกัน โดยเฉพาะระเบิดที่ทางจังหวัดชายแดนใต้มักใช้ซีโฟร์ แต่ที่ราชประสงค์ใช้ทีเอ็นที
“เกิดคำถามว่าผู้ก่อเหตุที่ราชประสงค์ได้รับการสนับสนุนจากใคร นำระเบิดทีเอ็นทีเข้ามาภายในประเทศได้อย่างไร ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บรวบรวมพยานหลักฐานจึงไม่ควรด่วนสรุป”แหล่งข่าวเปิดเผย
แหล่งข่าวรายเดียวกันนี้ เปิดเผยอีกว่า การกระทำหรือพฤติกรรมในการก่อเหตุดังกล่าวไม่น่าจะเชื่อมโยงกับการเมืองภายในประเทศ เพราะการสร้างสถานการณ์มุ่งเป้าสำคัญ 2 ประการ คือ คนต่างประเทศ และมุ่งให้การตายจำนวนมากๆ ซึ่งเข้าลักษณะการก่อการร้าย
“เชื่อมั่นว่าเป็นการกระทำจากต่างประเทศ” แหล่งข่าวเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจำเป็นต้องระมัดระวังท่าทีในเรื่องนี้มาก หากยอมรับว่าเกิดจากการกระทำนอกประเทศ อาจทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศเป้าหมายการก่อการร้าย


