posttoday

การเข้าถึงพระรัตนตรัยที่ถูกต้อง

02 สิงหาคม 2558

พระปัญญานันทมุนี (ส.ณ. สุภโร) เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปากเกร็ด นนทบุรี แสดงธรรมหัวข้อ การเข้าถึงพระรัตนตรัยที่ถูกต้อง

โดย...สมาน สุดโต

พระปัญญานันทมุนี (ส.ณ. สุภโร) เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปากเกร็ด นนทบุรี แสดงธรรมหัวข้อ การเข้าถึงพระรัตนตรัยที่ถูกต้อง เนื่องในวันอาสาฬหบูชา และวันอุปถัมภ์พระสงฆ์ต่างชาติ ที่ศึกษาในประเทศไทย ณ องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (พ.ส.ล.) วันที่ 25 ก.ค. 2558 มีใจความที่ควรติดตามและค้นหามาก เพราะท่านเสนอมุมมองใหม่ทั้งการเข้าถึงพระรัตนตรัย แก้ความสงสัยเรื่องเบบี้บุดดา และฝากให้คิดเรื่องอัตตาและอนัตตาที่เราคุ้นเคย เพราะท่านบอกว่ายังมีนิรัตตาที่คู่กับอัตตาอีกคำ ถ้าเข้าใจอัตตาและนิรัตตา จะเข้าใจอนัตตาที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบได้ทะลุ

โดยท่านกล่าวว่า พระรัตนตรัยมีทั้งค่าและคุณ ถ้าหากเราคำนึงถึงค่า เราอาจไม่เข้าถึงพระรัตนตรัยตามพุทธประสงค์ แต่ถ้าเข้าถึงคุณคือคุณของพระรัตนตรัย จะได้ตามเป้าหมายที่พระพุทธองค์ต้องการ นั่นคือการพ้นทุกข์

การเข้าถึงพระรัตนตรัยที่ถูกต้อง ก็คือ เข้าถึงคุณพระรัตนตรัย แต่ถ้าเข้าถึงเพียงค่า จะเข้าถึงพระรัตนตรัยไม่ถูกต้อง

ท่ามกลางที่ประชุมของผู้บริหาร พ.ส.ล. ที่มี แผน วรรณเมธี เป็นประธาน และพระสงฆ์นานาชาติที่มาร่วมชุมนุมเนื่องในวันอุปถัมภ์พระสงฆ์ต่างชาติ พระปัญญานันทมุนี (ส.ณ. สุภโร) ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อปัญญานันทะ หรือสมศักดิ์ ล่าสุดที่พระพรหมมังคลาจารย์ (มรณภาพ) ได้กล่าวว่า ท่านจะพูดเรื่องเข้าถึงพระรัตนตรัยที่ถูกต้อง โดยไม่แตะเรื่องไม่ถูกต้อง นอกจากยกมาเป็นองค์ประกอบ โดยมุ่งหวังที่จะเห็นการเข้าถึงพระรัตนตรัยที่ถูกต้อง

โดยท่านบอกว่า พระรัตนตรัยถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เราจึงมีสำนวนการแปลและมีสำนวนในการนำมาใช้เพื่อประโยชน์และความสุขร่วมกัน

พร้อมกับบอกว่า พระรัตนตรัย แปลว่า แก้วอันประเสริฐ 3 ประการ ถ้าคำแปลนี้อยู่ในยุค 2,000 กว่าปี ได้ยินแล้วลึกซึ้งและซาบซึ้ง แต่ปัจจุบันแก้ว 3 ประการมีค่าหลายอย่าง น่าจะแปลใหม่ว่า การเข้าถึงรัตนตรัยคือการเข้าถึงที่พึ่งอันประเสริฐ 3 ประการ คือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ทั้ง 3 เป็นที่พึ่งอันประสริฐของมนุษย์ ที่เป็นเช่นนี้เพราะที่พึ่งอื่นไม่สามารถแก้กิเลส ความโกรธ ความโลภ ความหลง ที่มีในดวงใจได้

วัตถุอื่นเจริญไปมากเท่าใด แต่ไม่เคยลดคุณค่า 3 สิ่งนี้ได้ จะเห็นว่าวัตถุมีมาก ยิ่งเพิ่มโลภะ โทสะ โมหะ ให้มากขึ้นเท่านั้น ท่านอ้างหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ  (ปั่น ปญฺญานนฺโท อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานฯ 14 พ.ค. 2454-10 ต.ค. 2550) ที่เคยกล่าวว่า แม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปขนาดไหน แต่ไม่สามารถทำให้คนพ้นทุกข์ได้ ยิ่งมีเทคโนโลยีมากเท่าไร คนจะทุกข์มากขึ้น ตัวอย่างเรามีโทรศัพท์สมบูรณ์เท่าไร ก็ปวดหัวเท่านั้น เพราะจำชื่อคนไม่ได้ ใส่ชื่อไปแล้วแต่จำไม่ได้ ค้นหาไปมาก็ทุกข์อีก ดังนั้นการเข้าถึงพระรัตนตรัยที่ถูกต้องไม่ทุกข์ เพราะเป็นเครื่องมือลดความทุกข์

ขอสรุปว่า พระรัตนตรัย ว่าโดยค่า มีความหมายของคำว่าสำคัญ แต่ถ้าต้องการถึงพระรัตนตรัยเพื่อการดับทุกข์จริง ต้องมีคำว่า คุณของพระรัตนตรัย อยู่ด้วย

ท่านเล่าว่า พระพุทธรูปบางองค์มีราคาแพง รวมถึงพระไตรปิฎกด้วย ส่วนพระสงฆ์อาจยกไว้ในฐานะผู้ประเสริฐ อริยะสงฆ์บางองค์ที่เขาเอามาปั้นไว้มีค่าหลายสตางค์เหมือนกัน

แต่ค่านี้ไม่สามารถดับทุกข์ได้ มีเท่าไรก็ได้แต่ระลึกถึง แต่ไม่สามารถดับทุกข์ในดวงใจได้

ท่านยกตัวอย่างพระพุทธรูปที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช ว่ามีค่าสูงถึงกับล็อกกุญแจหลายชั้น กระจายกันรับผิดชอบให้กับผู้บริหารระดับสูง ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าคณะจังหวัด เป็นต้น เพราะพระพุทธรูปวิเศษมาก แต่มีความรู้สึกว่า ทำไมต้องกักกันพระพุทธเจ้าขนาดนี้

คุณขังพระรัตนตรัยคืออะไร ท่านเสนอมุมมองสำหรับการศึกษาเรียนรู้ถึงคุณและค่าของพระรัตนตรัย กล่าวคือคุณของพระพุทธเจ้า เราเรียนรู้ดูจากพระพุทธประวัติก็พอจะได้

ตามประวัติมีเรื่องบอกพวกเราตั้งแต่ประสูติ เช่น ประสูติแล้วเดินได้ พูดได้ คุณของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่จริงๆ ประเด็นนี้มีทั้งผู้เห็นด้วยและโต้แย้ง ทั้งนี้ เพราะพระพุทธศาสนาไม่ปิดกั้นการคิดเห็น จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ ให้คิดเพื่อความหลุดพ้นก็แล้วกัน

เพื่อให้ชาวพุทธรู้และเข้าใจพระพุทธประวัติที่ถูกต้อง เป็นเหตุเป็นผล ไม่หลงตามผู้ที่สร้างเรื่องพระพุทธเจ้าน้อย หรือเบบี้บุดดา โดยท่านให้ดูช่วงเวลาการประสูติจากพระครรภ์มารดาถึงวันเสด็จออกบวชเมื่ออายุ 29 ปีนั้น เจ้าชายสิทธัตถะยังทรงความเป็นเจ้าชาย ศึกษาจากสำนักต่างๆ อภิเษกสมรสและทรงมีพระโอรส จนกระทั่งเสด็จออกบวชเมื่ออายุ 29 ปี ทรงบำเพ็ญเพียร 6 ปี จนกระทั่งตรัสรู้เมื่ออายุ 35 ปี  

ถึงตอนนี้พระปัญญานันทมุนี ศิษย์หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ แห่งวัดชลประทานฯ เรียกร้องขอความช่วยเหลือจากคนไทยด้วยกันเลิกให้ความสำคัญเบบี้บุดดาเสียที เพราะเสียหายแก่ชาวพุทธมาก เพราะไม่มีเบบี้บุดดา

ถ้าประสูติแล้วเป็นพระพุทธเจ้าเลย ทำไมต้องเรียนหนังสือ ทำไมต้องแต่งงาน ทำไมต้องมีบุตร ทำไมต้องบำเพ็ญเพียรอยู่ถึง 6 ปี จนกระทั่งตรัสรู้ จึงขอให้คนไทย รวมทั้ง พ.ส.ล.ช่วยกระจายความรู้ที่ถูกต้องว่าเบบี้บุดดาไม่มี และแนะนำให้หาดีวีดีของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุมาฟัง เพราะท่านรับนิมนต์มาแสดงธรรมที่สยามพารากอนในช่วงที่มีการปลุกกระแสเรื่องเบบี้บุดดา หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุพูดว่า เมื่อมาพร้อมกันแล้ว ก็ขอให้ช่วยกันเก็บเบบี้บุดดาไปทิ้งแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมๆ กัน เพราะไม่มีเบบี้บุดดา

ท่านอธิบายเรื่องการที่ประสูติแล้วเดินได้พูดได้นั้น ควรยึดเวลาที่พระองค์ตรัสรู้เมื่อมีอายุ 35 ปี แน่นอนว่าต้องพูดได้ เดินได้ และดับทุกข์ได้ 100%

ส่วนเราจะดับทุกข์ได้ เริ่มตั้งแต่ตั้งนโมเป็นต้นไป เมื่อกล่าวโดยสรุปพระคุณของพระพุทธเจ้ามี 3 คือ เมตตาคุณ ปัญญาคุณ และบริสุทธิคุณ ทั้ง 3 อย่างนี้คือตัวขัดแย้งกับโลภะ โทสะ และโมหะ มีเมตตาเมื่อไร โทสะไม่มี มีปัญญามีเมื่อไร โลภะไม่มี มีบริสุทธิ์เมื่อไร โมหะก็ไม่มี

เมื่อมีพระคุณอยู่ในใจ เข้าถึงพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง ย่อมดับทุกข์ได้ พระองค์จึงตรัสกับพระวักกลิ ว่า โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ. ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า คือเห็นเมตตา ปัญญา และบริสุทธิ์ อันเป็นพระคุณของพระพุทธเจ้า (วักกลิบวชเพราะหลงในพระรูปโฉมพระพุทธองค์ จึงมาบวชหวังว่าจะตามดูอย่างใกล้ชิด เมื่อบวชก็ไม่สนใจปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เฝ้าติดตามดูพระพุทธองค์ตลอด แม้พระพุทธองค์จะตรัสบอกว่า ไม่มีประโยชน์ที่จะดูร่างกายที่เน่าเปื่อย แต่ไม่ฟัง พระพุทธองค์จึงขับออกจากสำนัก พระวักกลิเสียใจจะโดดเขาตาย พระพุทธองค์ทราบจึงเทศนาโปรดจนบรรลุเป็นพระอรหันต์)

นอกจากนั้น ยังมีพระพุทธพจน์ที่สำคัญที่พระองค์ตรัสก่อนดับขันธปรินิพพาน ว่า โย อานนฺท ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต โส มมจฺจเยน สตฺถา. พระธรรมวินัยนั่นแหละที่จะเป็นครูเป็นศาสดาของพวกเรา เมื่อพระองค์จากไปแล้ว นี่คือการเข้าถึงพระพุทธเจ้าโดยถูกต้อง

ส่วนการเข้าถึงพระธรรม ถ้าเราเข้าถึงโดยค่า ก็คงไม่อ่านพระไตรปิฎก ที่วัดต่างๆ มีพระไตรปิฎก 2-3 ตู้ แต่หาคนอ่านไม่ได้ วัดปัญญานันทารามที่ตัวท่านเป็นประธานสงฆ์ จึงจัดโครงการสาธยายพระไตรปิฎกขึ้น เป็นอุบายให้คนอ่าน แต่ในแบบสาธยาย โดยพิมพ์ฉบับสาธยายขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อประหยัดไม่ต้องพิมพ์หรือซื้อเป็นชุด

เมื่อสาธยายก็พบความจริงว่า พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นต้องทำความเข้าใจให้ได้ ถ้าเข้าใจไม่ได้ เราจะเจอแต่ค่า ไม่เจอคุณ

การจะเข้าใจคุณ ต้องเข้าใจภาษาให้ได้ พร้อมกันนั้นท่านได้ยกคำใหม่ขึ้นมาวิสัชนา โดยกล่าวถึง คำ 3 คำ คือ อัตตา นิรัตตา และอนัตตา

ท่านอธิบายว่า อัตตา มีคำว่านิรัตตา เป็นคู่ขัดแย้งกันโดยธรรมชาติ เหมือนคำว่า ดี-ชั่ว สูง-ต่ำ ดำ-ขาว มืด-สว่าง คำคู่นี้เป็นเรื่องระดับศีลธรรม แต่คนไปเข้าใจว่า อัตตามีอนัตตาเป็นตัวขัดแย้ง

ภาษาไทยติดอยู่ที่คำแปล โดยไปแปลคำว่า อัตตา ว่ามีตัวตน แล้วแปลคำว่า อนัตตา ว่าไม่มีตัวตน ไไแปลออกไปแบบนี้จึงไม่พบคำว่า นิรัตตา ที่ถูกต้องแปลคำว่า อัตตา ว่ามีตัวตน นิรัตตา แปลว่า ไม่มีตัวตน

พระพุทธเจ้าทรงพบตัวพิเศษที่ไม่มีคู่ คือ อนัตตา คำนี้ต้องแปลว่า มีแต่ชื่อหาตัวตนแท้จริงไม่ได้ เมื่อแปลคำว่าอนัตตา ว่าไม่มีตัวตน ชาวพุทธเหมือนตัดทางตัวเอง ไม่สามารถเอาธรรมมาเป็นวิถีชีวิต ถ้าเราให้โอกาสพระธรรมเจริญในเรา ต้องเข้าใจเสียใหม่ว่า อัตตาและนิรัตตา คู่กัน และเป็นเพียงระดับศีลธรรมที่มันเป็นของมันอย่างนั้น เหมือนคู่ธรรมชาติอื่นๆ คนดำ คนขาว คนสูง คนต่ำ ซึ่งเป็นเรื่องอัตตาและนิรัตตา

ส่วนอนัตตา ไม่ใช่ไปขัดแย้งกับอัตตา ทั้งนี้ เพราะอนัตตามีแต่ชื่อหาตัวตนแท้จริงไม่ได้ เช่น มีแขนก็มีแค่ชื่อ หาตัวตนไม่ได้ มีขาก็มีแค่ชื่อ หาตัวตนไม่ได้ อนัตตาเป็นคุณค่าสำคัญมาก ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนแก่เรา หลังจากตรัสรู้อนัตตา คือเข้าถึงชีวิตอย่างถูกต้อง

(อ่านต่อฉบับหน้า)

ข่าวล่าสุด

Gemini ใน Google สู่การแปล 20 ภาษาผ่านหูฟังแบบเรียลไทม์