posttoday

บทที่ไม่ได้สัมภาษณ์ คนพูดเพลง : กวีศรีชาวไร่

12 กรกฎาคม 2558

กวีศรีชาวไร่ เป็นสมญานามที่ นายผี อัศนี พลจันทร นักคิดนักปฏิวัติแห่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

โดย...เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข [email protected]

กวีศรีชาวไร่ เป็นสมญานามที่ นายผี อัศนี พลจันทร  นักคิดนักปฏิวัติแห่งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ตั้งให้กับ น้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ  นักร้องเพลงเพื่อชีวิต ที่ในสมัยนั้นมุ่งหน้าเข้าป่าในเขตงานปฏิวัติเดียวกันกับนายผี  ด้วยเห็นว่าเป็นผู้ที่ใช้ภาษาและการเขียนหนังสือ ด้วยถ้อยคำกวีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและกลิ่นอายของชนบท

น้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ถือเป็นศิลปินเพื่อชีวิตระดับตำนานของประเทศไทย น่าจะเป็นศิลปินไม่กี่คนในประเทศไทยที่เล่นคอนเสิร์ตยาวนาน 4-5 ชั่วโมงต่อเนื่องกัน ในรูปแบบคนพูดเพลง ซึ่งหมายถึงการพูดให้ความบันเทิง เล่าเรื่อง เล่านิทาน ด้วยมุขตลก สลับกับการร้องเพลงไปด้วย

และนี่คือบทที่ไม่ได้สัมภาษณ์น้าหมู แต่ถอดความมาจากเนื้อหา “คนพูดเพลง” ในหลายๆ คอนเสิร์ตที่น้าหมูเล่าในแง่มุมที่คุณอาจไม่เคยได้ฟังที่ไหนมาก่อน

บทที่ไม่ได้สัมภาษณ์ คนพูดเพลง : กวีศรีชาวไร่

 

‘สหายประทีป’

น้าหมูยอมรับว่า ตอนเข้าป่าในสมัยเหตุการณ์ทางการเมืองยุคคอมมิวนิสต์คุกรุ่น ได้ติดสอยห้อยตามวงคาราวาน ไปอยู่หน่วยศิลป์ในพื้นที่เขตงาน จ.น่าน และประเทศจีน ในป่าทุกคนละทิ้งที่มา ไม่ใช้ชื่อนามสกุลจริง แต่มาใช้ชื่อจัดตั้งเป็นนามแฝง โดย น้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ มีชื่อจัดตั้งในป่าเขตงานปฏิวัติว่า “สหายประทีป” แปลว่า ไฟที่มีเปลวสว่าง อันหมายถึงการต่อสู้ และความหวังของยุคสมัย

ในขณะที่ลูกชายละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปจับอาวุธเข้าป่า พ่อของน้าหมู พงษ์เทพ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะต้องช่วยเป็นหูเป็นตาให้บ้านเมืองในการรักษาความสงบเรียบร้อย  เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งกันพอสมควร เพราะลูกเข้าร่วมกับฝ่ายหนึ่ง ในขณะที่พ่อเองก็ต้องทำหน้าที่ความเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่คนละฝ่ายกัน ด้วยเหตุการณ์นี้เอง ทำให้น้าหมูแต่งเพลงถึงพ่อของเขา ชื่อว่าเพลง “อึดอัด”

‘เกิด แก่ เจ็บ…’

น้าหมู เคยเล่าว่า ในช่วงเดือน ก.ย.ปีหนึ่ง ใกล้วันเกิดของน้าหมู ตอนนั้นถูกไข้หวัดเล่นงานอย่างหนักหน่วง ได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บป่วยที่ทรมาน ในขณะที่อยู่มาวันหนึ่ง น้าหมูลุกขึ้นมาพบว่าตัวเองฟันหักและมีเลือดไหลที่ปาก โชคดีมีรุ่นน้องเคยมาเสนอขายกล้องวงจรปิดติดไว้ที่บ้าน น้าหมูจึงมาเปิดกล้องดูพบว่าตัวเองเดินลื่นล้ม บาดเจ็บจนฟุบหลับไป ตอนตื่นมาคิดว่ามีคนมาทำร้าย โชคดีมีกล้องวงจรปิด ทุกอย่างจึงกระจ่าง นี่เป็นสัจธรรมที่น้าหมูบอกว่า ใกล้ถึงวันเกิดได้ระลึกถึงการเกิด ได้มองเห็นความเจ็บป่วย และแก่จนเดินลื่นล้ม โดยกล่าวติดตลกว่า “โชคดียังไม่ตาย”

‘เด็กหญิงปรางค์’

น้าหมูเล่าว่า ประมาณปี 2526 เขาแต่งเพลงอยู่ที่แฟลตดินแดง บ้านของคุณสุเทพและคุณแดง แห่งวงโฮป (วงดนตรีครอบครัวเพื่อชีวิต) ได้แรงบันดาลใจมาจากเห็นเด็กมาคุ้ยเก็บขยะอยู่ที่หน้าแฟลต เกือบทุกครั้งที่น้าหมูเล่นเพลงนี้ มักจะบอกเสมอว่า ทุกวันนี้ยังมีเด็กหญิงปรางค์อยู่เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ยังมีเด็กเร่ร่อน มีเด็กถูกทอดทิ้ง มีเด็กถูกแสวงหาประโยชน์ ที่เป็นเด็กหญิงปรางค์ในยุคสมัยปัจจุบัน

ท่อนหนึ่งของเพลงเด็กหญิงปรางค์ ร้องว่า ขยะในถังที่ตั้งริมทาง เด็กหญิงปรางค์กำลังคุ้ยเขี่ย เป็นประจำหน้าบ้านผัวเมีย ที่นั่งดูเหมือนพลเมืองดี ซึ่งสองผัวเมียที่ถูกกล่าวถึงในเพลงนี้ หมายถึงคุณสุเทพและคุณแดงแห่งวงโฮปนั่นเอง

‘วันเวลา’

ครั้งหนึ่ง น้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ไปเล่นคอนเสิร์ตกับวงคาราวานที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจากเสร็จงาน น้าหมูกับน้าอืด ทองกราน ทานา แวะไปเยี่ยมเพื่อนชาวญี่ปุ่น ซึ่งภรรยาของเพื่อนกำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอดพอดี ปรากฏว่าระหว่างไปเยี่ยมเพื่อน ภรรยาของเพื่อนเจ็บท้องจะคลอดลูก น้าหมูกับน้าอืดช่วยเรียกแท็กซี่และพาไปส่งที่โรงพยาบาล เพื่อนชาวญี่ปุ่นจึงตั้งชื่อลูกสาวที่เพิ่งคลอดให้เป็นความระลึกถึงเพื่อนชาวไทยว่า “น้องสยาม”

ตอนน้าหมู พงษ์เทพ และคาราวาน เดินทางกลับประเทศไทย เพื่อนๆ ชาวญี่ปุ่นร้องเพลงอำลาให้เป็นภาษาญี่ปุ่น น้าหมูติดใจในทำนองเมโลดี้ จึงขออนุญาตนำมาใช้แต่งเพลง นี่คือที่มาของตำนานเพลง วันเวลา อันโด่งดัง

ฝันนั้นล่องลอย ดุจหิ่งห้อยแสงริบหรี่ ฝันนั้นยังมี สิ่งสดใสในคืนเดือนดับรอตะวันรุ่งราง จะลาลับไม่รบกวน ยามคุณร้าวรัญจวน ก็จะหวนแสงหิ่งห้อย ร้อยเรืองรอง ในคืนข้างแรม

บทที่ไม่ได้สัมภาษณ์ คนพูดเพลง : กวีศรีชาวไร่

 

‘ตึกถล่ม’

น้าหมู พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ เคยแต่งเพลง “ตึกถล่ม” ให้กับเหตุการณ์โรงแรมรอยัล พลาซ่า โคราช ถล่มเมื่อปี 2536 โดยมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก น้าหมูบอกว่า แต่งเพลงนี้จากความเจ็บปวดทุกข์ยาก และการสูญเสียที่ได้พบเห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเอง ตอนเป็นอาสาสมัครเข้าไปช่วยในพื้นที่

หลังจากแต่งเพลงนี้ น้าหมูไม่เคยเล่นเพลงนี้อีกเลย จนกระทั่งผ่านเหตุการณ์มา 20 ปี ในคอนเสิร์ตเมื่อปลายปีที่ผ่านมา น้าหมูหยิบเพลงนี้ขึ้นมาเล่น และบอกว่า ไม่กล้าเล่นเพลงนี้ในตอนนั้น ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงความสูญเสีย น้าหมูบอกว่าเพลงบางเพลง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ อาจถูกหยิบยกมาพูดถึงอีกครั้ง เมื่อเวลาได้คลี่คลายตัวของมันเองแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการตอกย้ำความเจ็บปวด

‘ทบทวนตัวเอง’

น้าหมู เล่าว่า ก่อนหน้านี้เขาตามคาราวานและคาราบาวไปเล่นดนตรีตามงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ  ตอนเล่นที่ฟิลิปปินส์ แอ๊ด คาราบาว เคยมาชวน
น้าหมูเข้าร่วมวงคาราบาวแบบจริงๆ จังๆ ซะที แต่น้าหมูปฏิเสธไป และบอกว่า เขาอยากมีแนวดนตรีในแบบของเขาเอง สุดท้ายอัลบั้ม ห้วยแถลง ผลงานเพลงชุดแรกของน้าหมู ซึ่งคาราบาวเล่นแบ็กอัพให้ทั้งชุดก็ออกมาจนได้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลย (แม้ว่าตอนนั้นคาราบาวจะดังมาก)

ครั้งหนึ่งที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ น้าหมูขึ้นเล่นคั่นเวลาก่อนคาราบาวจะขึ้นแสดง โดยนำเพลงในอัลบั้มตัวเองขึ้นมาร้อง ปรากฏว่าร้องไปไม่ถึงครึ่งเพลง คนดูโห่ไล่ ตะโกนบอกว่าจะฟังคาราบาว จนน้าหมูต้องเดินกลับไปนั่งร้องไห้ที่หลังเวที

จากนั้นน้าหมูออกอัลบั้มมาอีก 3-4 อัลบั้ม แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ มีเพียงแฟนเพลงแค่กลุ่มเล็กๆ เท่านั้นที่ติดตาม จนกระทั่งวันหนึ่งที่น้าหมูไปเล่นคอนเสิร์ตที่พัทยากับ
คาราบาว น้าหมูนั่งปรับทุกข์กับอาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี อาจารย์ธนิสร์บอกน้าหมูว่า “หมูต้องลองกลับไปฟังเพลงตัวเองในชุดแรกๆ นั่นแหละคือตัวตนของหมู เพลงชุดปัจจุบันมันถูกปรุงแต่งจากธุรกิจไปเยอะ ลองกลับไปฟังตัวตนตัวเองดู” น้าหมูกลับไปฟังเพลงชุดแรกๆ อยู่หลายเดือน จนกระทั่งจับปากกาเขียนเพลงชุดใหม่ ชื่อชุด คนจนรุ่นใหม่ ซึ่ง
น้าหมูกลับมาโด่งดังเป็นพลุแตก ด้วยเพลงตามแบบฉบับของตัวเอง ซึ่งมีเพลงอันคุ้นหูคนฟังจนถึงปัจจุบันอย่างเพลง “ตังเก”

นี่คือบทที่ไม่ได้สัมภาษณ์ของกวีศรีชาวไร่ แต่เขาเล่าไว้ในคอนเสิร์ต และแถมท้ายด้วยมุขที่น้าหมูแซวความเป็นท้องถิ่นชนบท อันเป็นตัวตนคนพูดเพลงของเขาว่า คนในประเทศเราดื่มเหล้าเมาแค่ไหนก็ไม่เคยล้ม เพราะรากฐานความจนมันมั่นคง...

ข่าวล่าสุด

ALATi “สยาม เคมปินสกี้” เมดิเตอร์เรเนียนโมเมนต์ สำหรับวันธรรมดาที่สุดพิเศษ