posttoday

จุดตั้งต้นที่ดีของการปฏิรูป

06 กรกฎาคม 2553

....นายศาสตรา

วิกฤตของประเทศที่แสดงออกชัดเจนในช่วงเดือน มี.ค.พ.ค.ที่ผ่านมา เป็นวิกฤตร้ายแรงที่ทุกฝ่ายดูจะยอมรับว่า จะปล่อยให้ปัญหาคลี่คลายไปเองไม่ได้ จำเป็นต้องแก้ไขด้วยการปฏิรูป ไม่เช่นนั้นจะเป็นปัญหาคุกรุ่นและอาจลุกลามบานปลายไปสู่สงครามกลางเมือง

น่ายินดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แสดงภาวะผู้นำด้วยการประกาศแนวทางปรองดองห้าประการ ซึ่งมีสาระสำคัญคือการแก้ปัญหาที่รากฐานระยะยาว คือ การปฏิรูปสื่อ ปฏิรูปการเมือง และปฏิรูปประเทศ และต่อมาก็มีการทยอยประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปหลายคณะ ได้แก่ คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ มี พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นประธาน คณะกรรมการปฏิรูปการเมือง มี ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เป็นประธาน และคณะกรรมการปฏิรูปสื่อ มี คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เป็นประธาน

ล่าสุด มีการประกาศแต่งตั้ง นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานกรรมการปฏิรูป คู่กับ ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธานสมัชชาปฏิรูป ซึ่งมีข้อน่าสังเกตสะท้อนจุดเริ่มต้นที่ดีของการปฏิรูปหลายประการ

ประการแรก คณะกรรมการสองชุดนี้ มีที่มาแตกต่างจากชุดปฏิรูปตำรวจ ปฏิรูปการเมือง และปฏิรูปสื่อ ที่มิได้รับการทาบทาม และแต่งตั้งโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี แต่เริ่มจากการประชุมของภาคประชาสังคม เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี แล้วภาคประชาสังคม เป็นผู้เสนอให้แต่งตั้งท่านทั้งสองเป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าว

ที่มาของผู้นำการปฏิรูปทั้งสองท่านมีความสำคัญ เพราะเมื่อเป็นการเสนอจากภาคประชาสังคม ย่อมลบภาพที่จะถูกเคลือบแคลงว่าเป็นคนของรัฐบาล หรือเป็นพวกของรัฐบาล ซึ่งหากสังคมมีข้อเคลือบแคลงเช่นนั้น ย่อมจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการทำงานต่อไป เพราะสังคมจะเกิดความตะขิดตะขวงใจว่า ภารกิจหลัก จะกลายเป็นการช่วยแก้ปัญหาหรือสร้างภาพลักษณ์ให้รัฐบาล แทนที่จะปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาของประเทศ

ข้อสำคัญงานการปฏิรูปของคณะกรรมการสองคณะนี้จะต้องเป็นการทำงานระยะยาว เลยพ้นจากอายุของรัฐบาลนี้ ซึ่งไม่ว่าจะสิ้นสุดลงด้วยการยุบสภา หรือหมดอายุไปตามวาระก็ตาม คณะกรรมการสองชุดนี้จึงไม่ควรมีภาพผูกติดกับรัฐบาลนี้

ประการที่สอง เพื่อให้สามารถทำงานระยะยาวต่อเนื่องไปได้หลังรัฐบาลชุดนี้ การแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้จึงแตกต่างจากคณะกรรมการสามชุดก่อนหน้า นั่นคือ ได้มีการออกเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี กำหนดวาระการทำงานไว้เป็นเวลาสามปี ก่อนจะมีประกาศแต่งตั้งคณะกรรมการ โดยในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานขึ้นสนับสนุนการดำเนินงาน และรัฐบาลได้ประกาศว่าได้เตรียมงบประมาณสนับสนุนให้ปีละ 200 ล้านบาทด้วย

การออกเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเช่นนี้ ย่อมเป็นการแสดงเจตจำนงชัดเจน ที่จะให้คณะกรรมการปฏิรูปทั้งสองคณะสามารถทำงานต่อเนื่องจนบรรลุภารกิจ โดยมีกลไกสนับสนุนการทำงาน ทั้งคน เงิน และวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็น

ระยะเวลาสามปีที่กำหนดไว้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะงานใหญ่ขนาดนี้ ยาก และซับซ้อนขนาดนี้ จะรวบรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็วไม่ได้และไม่สมควร หากจำเป็นและคณะกรรมการสามารถทำงานได้ผลเป็นที่ประจักษ์ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลต่อไปจะต้องพิจารณาว่าจะต่ออายุการทำงานออกไปหรือไม่

ประการที่สาม วิธีการแต่งตั้งคณะกรรมการสองชุดนี้ทำตามแบบอย่างที่ดีของประเทศที่เจริญแล้วอย่างอังกฤษ ที่เมื่อมีปัญหายากๆ ขึ้น รัฐบาลจะเชื้อเชิญบุคคลที่สังคมให้ความเชื่อถือมาช่วยแก้ปัญหา โดยตั้งเป็น คณะกรรมการหลวง” (Royal Commission) โดยตั้งประธานคนเดียวแล้วให้ประธานไปแต่งตั้งกรรมการคนอื่นเองทั้งหมด เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่แต่งตั้งเหมือนคณะกรรมการโดยมากที่มักแต่งตั้งตามที่ผู้มีอำนาจแต่งตั้งเห็นสมควร หรือบ่อยครั้งที่เป็นการแต่งตั้ง ตามอำเภอใจทำให้คณะกรรมการทำงานยาก ขัดแย้งกันเอง หรือกรรมการบางคนเข้าไปปกป้องผลประโยชน์ของหน่วยงานหรือของตนเอง ทำให้ไม่สามารถทำงานให้บรรลุภารกิจด้วยดี

การแต่งตั้งคณะกรรมการสองชุดนี้ ระบุไว้ชัดเจนในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูปข้อ 4 และข้อ 9 ว่า นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งเฉพาะประธาน กรรมการคนอื่นให้ ประธานกรรมการแต่งตั้ง

ประการที่สี่ คณะกรรมการสองคณะนี้ มีลักษณะเป็นอย่างที่ นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เปรียบเทียบว่าเหมือนพญานาคสองหัว ซึ่งเป็นการจัดบทบาทของผู้นำที่มีบารมีสูงทั้งสองท่านอย่างเหมาะสม ลงตัว และเชื่อว่าจะมีการทำงานตามหลักการ สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาของ นพ.ประเวศ ที่ว่า งานการใดๆ ที่ยากจะสำเร็จได้ ต้องใช้ยุทธศาสตร์สามประสาน คือ ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนทางนโยบาย ยุทธศาสตร์ความรู้ และยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนสังคม ซึ่งชัดเจนว่าคณะกรรมการปฏิรูปชุดของนายอานันท์ จะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนนโยบาย ขณะที่คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปของ นพ.ประเวศ จะทำหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนสังคมอย่างกว้างขวาง โดยทั้งสองคณะจะขับเคลื่อนไปโดยฐานของความรู้ที่มีการศึกษาสั่งสมกันมาอย่างต่อเนื่องยาวนานแล้ว

ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูป ได้กำหนดนิยามของการปฏิรูปไว้ครอบคลุมกว้างขวางมาก ว่าหมายถึง การใดๆ ที่กระทำโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เชิงระบบและโครงสร้างในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบคุณค่าของสังคม ระบบการจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ระบบภาษีและการเงินการคลัง ระบบเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา ระบบยุติธรรม ระบบการเมือง ระบบราชการ ระบบการสื่อสาร ระบบสุขภาพ ระบบสวัสดิการสังคมและระบบอื่นๆ เพื่อนำไปสู่การเพิ่มสุขภาวะ ความเข้มแข็งและความเป็นธรรมในสังคม

งานนี้จึงเป็นงานใหญ่และยาก น่ายินดีที่เริ่มต้นดีแล้ว

ข่าวล่าสุด

ALATi “สยาม เคมปินสกี้” เมดิเตอร์เรเนียนโมเมนต์ สำหรับวันธรรมดาที่สุดพิเศษ