posttoday

ปปส.ลุยคุมเข้มเยาวชนเสพยาโปรฯ

09 กรกฎาคม 2558

ป.ป.ส. จับมือ "อย.-สมาคมร้านขายยา-สพฐ.-ตร." คุมเข้ม เยาวชนใช้ยาแก้ไอผสมน้ำอัดลมวางมาตรการเข้ม 5 ข้อ

ป.ป.ส. จับมือ "อย.-สมาคมร้านขายยา-สพฐ.-ตร." คุมเข้ม เยาวชนใช้ยาแก้ไอผสมน้ำอัดลมวางมาตรการเข้ม 5 ข้อ

เมื่อวันที่ 9 ก.ค.เวลา 10.00 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิต เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นประธานแถลงมาตรการเข้ม “หยุดใช้ยาในทางที่ผิด” ร่วมกับ นายประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) นางพวงมณี ชัยเสรี ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบเครือข่ายและการมีส่วนร่วม สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดร.ปิ่นทอง ใจสุทธิ รอง ผอ.โรงเรียนบางปะกอกวิทยาคม และนายปริญญา อัครจันทโชติ นายกสมาคมร้านขายยา

นายเพิ่มพงษ์ กล่าวว่า จากกรณีที่มีการแชร์คลิปสั้นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กรณีนักเรียนกินยาแก้ปวดยี่ห้อโปรโคดิลผสมยาแก้ปวดยี่ห้อทรามาดอล จำนวน 40 เม็ด ทำให้เกิดอาการชักเกร็ง ก่อนตกตลิ่งใต้สะพานภูมิพล เมื่อวันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ จากข้อมูลเบื้องต้นทราบว่า ขณะนี้ยาแก้ปวดยี่ห้อดังกล่าว เมื่อนำมาผสมกับส่วนผสมหลายอย่างจะทำให้เกิดความมึนเมา ปัจจุบันกำลังแพร่ระบาดในกลุ่มนักเรียน ซึ่ง ป.ป.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงมีการเฝ้าระวังพฤติกรรมเสี่ยงในกลุ่มเด็กจนพบพฤติกรรมการใช้ยารักษาอาการป่วยทั่วไป มาดัดแปลงเป็นสารกระตุ้นประสาท โดยนำยาในกลุ่มยาแก้แพ้ ยาแก้ปวด และยาแก้ไอ มาผสมกับเครื่องดื่มเพื่อให้ออกฤทธิ์มึนเมา และกระตุ้นให้รู้สึกสนุกสนาน

นายเพิ่มพงษ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2552 อย. กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเตือนห้ามใช้ยาชนิดนี้ หลังพบเด็กวัยรุ่นใน 3 จังหวัดภาคใต้ นำยาแก้ปวดยี่ห้อดังกล่าวใช้เป็นส่วนผสมของยาเสพติด โดยผสมกับยาแก้ไอและเครื่องดื่มชนิดหนึ่งจนกลายเป็นสารเสพติด ประเภทสี่คูณร้อย ต่อมาในปี 2554 จ.สตูล ได้ประกาศห้ามนำยาชนิดนี้มาจำหน่าย หลังพบว่ามีกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมาก นำไปผสมเป็นยาเสพติดร้ายแรง ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้ประกาศเตือนและเฝ้าระวังหลังได้รับรายงานว่าในพื้นที่ภาคเหนือมีกลุ่มวัยรุ่นใช้ยาชนิดนี้ในปริมาณมากโดยกินร่วมกับน้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง หรือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จนมีอาการมึนเมาเหมือนคนสูบฝิ่น

เลขาฯ ป.ป.ส. กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการป้องกันและแก้ไข ป.ป.ส. ได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนได้ข้อสรุป 5 มาตรการ คือ 1.ระบบการจำหน่าย โดยการยกระดับตัวยารักษาโรคที่เด็กและเยาวชนนำไปใช้ในทางที่ผิด ขึ้นเป็นตัวยาที่ต้องมีการควบคุม โดยอนุญาตให้จำหน่ายเฉพาะในร้านขายยาคุณภาพ ซึ่งต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานของ อย. 2.ขอความร่วมมือกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ในการเฝ้าระวัง เนื่องจากมีการติดต่อซื้อขาย และเผยแพร่ข้อมูลของยาชนิดดังกล่าว 3.รณรงค์ให้ร้านขายยาปฏิบัติตามกฎหมายมากขึ้น 4.ป้องกัน โดยเป็นการขอความร่วมมือจากองค์กรเครือข่ายร้านขายยา เพื่อไม่ให้ร้านขายยาจำหน่ายยาให้เด็กและเยาวชนนไปใช้ในทางที่ผิด และ 5.มาตราการปราบปราม ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

ด้าน พล.ต.ต.อิทธิพล กล่าวว่า หากประชาชนพบเยาวชนตั้งกลุ่มหรือสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิด สามารถแจ้ง ไปยังสถานีตำรวจใกล้เคียง หรือโทร 191 เพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ประสานให้เร่งเข้าดำเนินการตรวจสอบ ส่วนขั้นตอนการดำเนินการ เมื่อทำการจับกุมแล้ว เจ้าหน้าที่จะเรียกให้ผู้ปกครอง และคณาจารย์มารับทราบ และทำการสืบสวนไปยังต้นตอที่จำหน่ายยาดังกล่าวให้กับเยาวชน ซึ่งหากตรวจสอบแล้วพบมีพฤติกรรมเข้าข่ายต้องสงสัย ตำรวจจะประสาน อย. และกรมสรรพากรให้เข้าตรวจสอบและดำเนินการต่อไป

นายประพนธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมายาทั้ง 2 ชนิด ยังคงต้องให้มีบริการในร้านขายยาแผนปัจจุบัน และเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ในการรักษาโรคขั้นพื้นฐาน  ทาง อย. จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านขายยาอย่างต่อเนื่อง หากพบมีการซื้อขายผิดวัตถุประสงค์ก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายพร้อมถูกพักใช้ใบอนุญาตเป็นเวลา 120 วันด้วย ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2558-ปัจจุบัน มีร้านขายยาทำผิดกฎหมายและถูกพักใช้ใบอนุญาตแล้วกว่า 40 ร้าน อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบไม่ใช่แค่ยาสองชนิดนี้เท่านั้นที่นำไปใช้ในทางที่ผิด แต่ยังมีอีกหลายชนิดที่สามารถนำไปใช้ในทางเดียวกันได้ โดย สธ. มีการควบคุมการใช้ยาบางตัวที่เข้มงวดเกินไป ซึ่งอาจทำให้กระทบต่อระบบสาธารณสุข เนื่องจากมีโรคพื้นฐานที่ประชาชนสามารถเลือกซื้อยาใช้ได้เอง ตามร้านขายยาที่มีเภสัชกรเป็นผู้แนะนำ

นายประพนธ์ กล่าวอีกว่า หากเราผลักดันยาบางชนิดให้ใช้ได้เฉพาะในโรงพยาบาลอาจเป็นการเพิ่มความแออัดในสถานพยาบาลได้ ทั้งนี้ ในอดีตมีบทเรียนอยู่แล้ว กรณีซูโดอีเฟรดีนที่ถูกยกระดับให้ใช้ได้ในเฉพาะโรงพยาบาล จึงทำให้คนที่มีอาการแพ้อากาศได้รับผลกระทบมาก อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มของยาแก้ปวด หากมีพฤติกรรมใช้ติดต่อกันในระยะเวลานานจะทำให้เสพติด และต้องเลิกด้วยการบำบัดเหมือนผู้ติดยาเสพติด ขณะที่ยากลุ่มอื่นมีโอกาสติดยาก

ทั้งนี้ สำหรับปริมาณการขายยาประเภทยาแก้แพ้นั้น อย.ได้กำหนดให้ร้านขายยาสามารถขายให้ผู้ซื้อได้ไม่เกิน 3 ขวดต่อ 1 คน และผู้ผลิตยาสามารถจำหน่ายยาให้กับร้านขายยาได้ไม่เกินร้านละ 300 ขวดต่อ 1 เดือน ส่วนกลุ่มยาแก้ปวดผู้ผลิตสามารถขายให้กับร้านขายยาได้ในปริมาณร้านละไม่เกิน 1,000 แค็บซูลต่อเดือน และร้านขายยาสามาถขายให้กับผู้ใช้ได้คนละไม่เกิน 20 แคปซูล นอกจากนี้ หากต้องการแจ้งเบาะแสร้านขายยาที่มีพฤติกรรมขายยาในทางที่ผิดสามารถแจ้งมาได้ที่สายด่วน อย. 1556

ข่าวล่าสุด

ALATi “สยาม เคมปินสกี้” เมดิเตอร์เรเนียนโมเมนต์ สำหรับวันธรรมดาที่สุดพิเศษ