‘ประพันธ์’ เน้นสร้างคุณภาพ ให้กับบจ.ใน mai
ครบรอบ 1 ปี กับการเข้ามาเป็นผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) แต่ “ประพันธ์ เจริญประวัติ”
โดย...พณิตศรณ์ หวังจงชัยชนะ
ครบรอบ 1 ปี กับการเข้ามาเป็นผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) แต่ “ประพันธ์ เจริญประวัติ” ไม่ถือว่าใหม่ใน mai เพราะร่วมงานกับ mai ในตำแหน่ง “ผู้อำนวยการ” เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน และร่วมทำงานได้ประมาณ 4 ปี หลังจากนั้นได้รับมอบหมายให้ไปดูแล “สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.)” ในตำแหน่งผู้อำนวยการ วตท. กินระยะเวลาอีก 4 ปี ก่อนจะกลับมารับตำแหน่งผู้จัดการ mai เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2557
“ประพันธ์” เข้ารับตำแหน่ง “ผู้จัดการ mai” เป็นคนที่ 5 รับไม้ต่อจาก “ชนิตร ชาญชัยณรงค์” โดยเข้ามาในช่วงเวลาที่ mai ครบรอบ 15 ปี ด้วยจำนวนบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ใน mai กว่า 90 บริษัท
ปัจจุบันจำนวน บจ.ใน mai ภายใต้การดูแลของ “ประพันธ์” ได้เพิ่มขึ้นเป็น 115 บริษัท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) รวม 4.04 แสนล้านบาท พร้อมกับกำหนดแผนระยะ 5 ปีข้างหน้า ระหว่างปี 2557-2561 จะเพิ่มจำนวน บจ.ใน mai อีก 100 บริษัท หรือเพิ่มเป็น 200 บริษัท
สำหรับกลุ่มธุรกิจเป้าหมายที่ทาง mai โฟกัส จะเป็นกลุ่มธุรกิจของครอบครัว เพราะธรรมชาติของธุรกิจเมืองไทยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจครอบครัว และตลาดทุนจะเป็นการตอบโจทย์ให้กิจการเหล่านี้มีทุนเพื่อใช้รองรับในการขยายธุรกิจให้มีการเติบโตมากขึ้น
ข้อสำคัญไม่เพียงเป็นแหล่งระดมทุนเท่านั้น ตลาดทุนยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้กิจการของครอบครัวดำเนินต่อไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ mai ยังวางตัวเองให้เป็นหัวหอกสำคัญของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กในจังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ
“ประพันธ์” กล่าวว่า 15 ปีที่ผ่านมาของ mai ภายใต้การบริหารงานของผู้จัดการทั้ง 4 ท่าน มีพัฒนาการความเปลี่ยนแปลงมาในแต่ละช่วงตามสภาพและปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ไล่ตั้งแต่คนแรกคือ “ยุทธ วรฉัตรธาร” เรียกได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญ เพราะเป็นผู้วางรากฐานให้กับ mai
ผู้จัดการคนที่ 2 คือ “โสภาวดี เลิศมนัสชัย” เป็นช่วงการต่อเติมรากฐาน mai ให้แข็งแกร่ง ผู้จัดการลำดับต่อมา คือ “วิเชฐ ตันติวานิช” แยกบทบาทชัดเจนว่า mai เป็นทางเลือกการระดมทุนให้กับคนรุ่นใหม่ และคนที่ 4 คือ “ชนิตร ชาญชัยณรงค์” กลยุทธ์ 100 วัน กับการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยเน้นสร้างให้ บจ.ใน mai มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ครั้งมาในยุคของ “ประพันธ์” จึงมีความตั้งใจจะทำให้ mai เป็นตลาดที่เติบโตอย่างยั่งยืน และสร้าง Ecosystem เพื่อให้เป็นสังคมธุรกิจที่มีการสนับสนุนเกื้อกูลซึ่งกัน
และกัน
“ผมกลับมาร่วมงานกับ mai อีกครั้ง พบว่า mai เปลี่ยนไป กลายเป็นที่ยอมรับของผู้ประกอบการและผู้ลงทุน ขณะนี้เจ้าของกิจการโทรศัพท์ติดต่อมาเอง สนใจอยากจะเข้าจดทะเบียนใน mai ต่างจากสมัยก่อน ซึ่ง mai อยู่ในช่วงของการจัดตั้ง วางรากฐาน ให้เป็นที่รู้จักของผู้เกี่ยวข้อง และสร้างการยอมรับ สะท้อนให้เห็นว่าผู้จัดการที่ผ่านมาได้สร้างรากฐานให้ mai มีความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี” ประพันธ์ กล่าว
การจะสร้างความยั่งยืนให้กับ mai ในมุมมองของประพันธ์มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ ต้องมีระบบที่ดี ต้องพัฒนาคนให้มีศักยภาพ รวมถึงการผลักดันให้ธุรกิจไทยเกิดการก้าวกระโดดไปสู่การเป็นธุรกิจเพื่อสังคม หรือ Social Enterprise
ขณะนี้ mai เรียกได้ว่าติดลมบน มีแต่เจ้าของกิจการติดต่ออยากขอเป็น บจ.ใน mai จะทำให้การทำงานของ “ประพันธ์” ปรับเปลี่ยนไปอย่างไรเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาด
“ประพันธ์” กล่าวว่า หากมองย้อนกลับไปตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมาของ mai ได้ถือว่าปฏิบัติตามพันธกิจของตัวเองได้ลุล่วง โดยเฉพาะวัตถุประสงค์หลักในการสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ให้บริษัทเหล่านี้สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพ แม้ว่าที่ผ่านมา mai จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการกว่าร้อยรายเข้ามาระดมทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเติบโตสูง การเป็นบริษัทมืออาชีพ หรือ Smart Entrepreneur แต่พันธกิจดังกล่าวยังต้องดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ สิ่งที่จะทำจากนี้ไป คือ ให้ความสำคัญกับคุณภาพทั้งในส่วนของบริษัทเข้าใหม่และ บจ.เดิมที่มีอยู่ ขณะเดียวกัน mai ได้วางจุดยืนให้เป็นผู้ทำหน้าที่คอยประสาน (แมตชิ่ง) สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับ บจ.ใน mai มากขึ้น
ผู้บริหารใน mai ทั้ง 115 บริษัท เขามีความเป็นเพื่อน เป็นพันธมิตรกัน โดยจะมีการนัดพบกันทุกเดือน การสังสรรค์ การรวมตัวดังกล่าวจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจและพันธมิตรทางธุรกิจ
นอกจากนี้ ยังจัดสัมมนาเพื่อคอยให้ความรู้และยังเป็นการพัฒนาผู้บริหารใน mai รวมถึงได้เซ็นสัญญาบันทึกความร่วมมือเบื้องต้น (เอ็มโอยู) กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อจะให้ บจ.ไปเยี่ยมชมหาข้อมูลวิจัยหรือผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าใน บจ.
ล่าสุดได้เชิญ “สุรินทร์ พิศสุวรรณ” อดีตเลขาธิการอาเซียน มาฉายภาพถึงโอกาสลงทุนในอาเซียน ให้กับผู้บริหาร บจ.ใน mai ได้รับฟัง
“บทบาทของผมคือ ทำหน้าที่เป็นคนแมตชิ่ง และเมื่อเข้ามาเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว จะไม่ให้เขารู้สึกว่าโดดเดี่ยว คอยเป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษาเพื่อให้ บจ.ใน mai สามารถใช้ตลาดทุนอย่างคุ้มค่า เพราะต้องยอมรับว่าการเป็น บจ.จะมีต้นทุนสูง มีภาระที่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นต้องคอยให้คำปรึกษา เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากตลาดทุนอย่างคุ้มค่า ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ อย่างเต็มที่” ผู้จัดการ mai กล่าว
“ประพันธ์” กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา mai มีการระดมทุนรวม 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นเข้าใหม่มีการระดมทุน 1 หมื่นล้านบาท และ บจ.เดิมมีการระดมทุนอีก 1 หมื่นล้านบาท ผ่านการใช้เครื่องมือทางการเงินถึง 56 เครื่องมือด้วยกัน และในปี 2558 นี้ บจ.ใน mai มีการระดมทุนรวมแล้วแล้ว 6,800 ล้านบาท และใช้เครื่องมือทางการเงิน 38 เครื่องมือ
บทพิสูจน์ประการหนึ่งของคุณภาพ บจ.ใน mai พบว่า ปีนี้มี บจ.ได้รับการคัดเลือกจาก “Asia’200 Best Under A Billion” จัดโดยนิตยสารฟอร์บส์ เอเชีย ที่ค้นหาสุดยอด 200 บริษัท จากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีการเติบโตทั้งรายได้ กำไรสุทธิ และผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้นในกลุ่มบริษัทที่มียอดขายต่ำกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
มีทั้งหมด บจ. 6 ในจำนวนนี้ แบ่งเป็น บจ.ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) 4 บริษัท และเป็น บจ.ใน mai ถึง 2 บริษัทด้วยกัน คือ บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ (APCO) และบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอม
มิวนิเคชั่น (ILINK) แม้ว่าจะลดลงจากปี 2557 ที่มี บจ.ได้รับการคัดเลือก 9 แห่ง แต่ในส่วนของ mai ถือว่าเพิ่มขึ้น เพราะปีที่ผ่านมามีเพียงบริษัทเดียวที่ได้รับการคัดเลือก คือ บริษัท ไพลอน (PYLON)
ผลดังกล่าวนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี และสะท้อนให้เห็นว่า บจ.ใน mai เป็นบริษัทที่มีศักยภาพและสามารถสร้างการเติบโตได้ดีเทียบเคียงกับบริษัทในระดับภูมิภาค และเป็นที่สนใจของผู้ลงทุน
สำหรับการเปิดเสรีเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีนั้น “ประพันธ์” กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ mai ไม่สามารถมองข้ามได้ โดยจะพยายามสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนใน mai ก้าวออกไปลงทุนในประเทศอาเซียน โดยจะเป็นการทำงานร่วมกันผ่านสมาคมบริษัทจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ mai (maiA) เท่าที่ได้สำรวจพบว่า บจ.ให้ความสนใจอย่างมาก ซึ่งคงจะมีการให้ความรู้พื้นฐานและพาไปสำรวจแต่ละประเทศ เพื่อให้สามารถขยายตลาดไปสู่เออีซี เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต
ผู้จัดการ mai กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้มองว่า mai คือโอกาสสำหรับการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน คือการพัฒนา ที่สำคัญของธุรกิจไทยคือ ฐานทุนในการสร้างธุรกิจให้เติบโตแบบก้าวกระโดด และสำหรับธุรกิจครอบครัว mai คือทางเลือกสำหรับการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เป็นการส่งทอดธุรกิจจากรุ่นปู่สู่รุ่นหลานอย่างมีระบบ


