ทหารกับการเมือง เหลียวหน้าแลหลังวิชาการ
โดย...ไชยันต์ ไชยพร
โดย...ไชยันต์ ไชยพร
ใน The Military and Politics in Modern Times (1977) Amos Perlmutter นักรัฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องทหารกับการเมือง กล่าวว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นักวิชาการย้อนมองปรากฏการณ์ทางการเมืองก่อนปี 1945 ที่รัฐบาลทหารในหลายประเทศเป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่าเป็นปรากฏการณ์การเมืองเบี่ยงเบน แม้หลังสงครามโลกก็ยังเกิดปรากฏการณ์ที่กองทัพแสดงบทบาทแข็งขันมากขึ้นในทางการเมืองอย่างกว้างขวางทั่วไปในประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลก
นักวิชาการจำนวนหนึ่งมองว่าประเทศที่รัฐบาลถูกกองทัพครอบงำเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ แต่กระนั้นหากมองย้อนไปในประวัติความคิดทางการเมือง ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ การที่นักสังคมศาสตร์จำนวนหนึ่งไม่เชื่อว่า การปกครองโดยทหารเป็นสิ่งที่ควรค่าในการศึกษาเท่ากับการปกครองของพลเรือน ถือเป็นอคติที่มีสาเหตุหลากหลาย นับจากความไม่รู้ จนถึงการเป็นปฏิปักษ์ต่อสงครามและอาชีพทหาร โดยมองว่ารัฐบาลทหารเป็นระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จขั้นสูงสุด
ในศตวรรษที่ 19 และ 20 แนวคิดเกี่ยวกับการแทรกแซงทางการเมืองโดยทหาร เริ่มเป็นที่แพร่หลาย รัฐประหารและการต้านรัฐประหารที่เกิดขึ้นในละตินอเมริกา อาหรับ แอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งกรีซและโปรตุเกส ปรากฏการณ์เหล่านี้ยืนยันข้อเท็จจริงทางการเมืองและประวัติศาสตร์ ที่ว่าเมื่อรัฐบาลพลเรือนไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่สามารถดำรงความเป็นสถาบันในทางการบริหาร ก็จะไม่สามารถควบคุมทหารได้
การล่มสลายของอำนาจบริหาร คือ เงื่อนไขสำคัญสำหรับการเปิดพื้นที่ให้กับลัทธิทหาร ภายใต้เงื่อนไขระบบขุนศึก (Praetorianism) และส่งผลให้เกิดการเชื่อมผสมกันระหว่างทหาร-พลเรือน นั่นคือกองทัพสามารถยึดการปกครองด้วยความเห็นชอบของนักการเมืองพลเรือนหรือไม่ก็ได้ จะยึดในนามของนักการเมืองพลเรือนหรือยึดเพื่อต่อต้านนักการเมืองก็ได้ หรือยึดด้วยเป้าหมายที่จะแทนที่รัฐบาลพลเรือนหนึ่งด้วย หรืออีกกลุ่มหนึ่งด้วยเป้าหมายที่จะขจัดคู่แข่งในกองทัพ
อีกมุมหนึ่งคือ Guy Pauker, “Southeast Asia As a Problem Area in the Next Decade” (1959) เห็นว่าประเทศทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ในขณะนั้น) มีความโน้มเอียงที่จะประสบกับสภาวะไร้เสถียรภาพทางการเมืองมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้นำในประเทศเหล่านี้ไม่มีสถานภาพที่เป็นที่เคารพเหมือนดังพวกอภิชนดั้งเดิม รวมทั้งไม่มีสถานภาพที่เป็นที่เคารพในฐานะที่ผู้นำชาตินิยมรุ่นแรกๆ
นักการเมืองเหล่านี้ไม่มีโอกาสและเวลาที่จะสถาปนาวางรากฐานการปกครอง/รัฐบาลและการบริหารประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพภายใต้สภาวะที่ปราศจากแรงกดดัน แรงกดดันที่ว่ามาจากกระแสคอมมิวนิสต์ที่มีการจัดตั้งองค์กรอย่างดี และพร้อมที่จะมาแทนที่ในสภาวะสุญญากาศทางการเมืองในบริบทที่ขาดเสถียรภาพ
Pauker เห็นว่า กลุ่มที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะมาทำหน้าที่ทัดทานต่อการแพร่กระจายลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือบรรดาสมาชิกของกองกำลังทหารแห่งชาติ ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและกองทัพแห่งชาติในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางองค์กร
Pauker สรุปว่า ทหารในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถที่จะพัฒนาทักษะทางการเมืองได้ในช่วงเวลาอันสั้นที่พอมีอยู่ก่อนที่สังคมของพวกเขาจะแตกแยกพังทลาย
ประเด็นของ Pauker ดูจะออกไปในทางปกป้องการปกครองโดยรัฐบาลทหาร แต่ที่แน่ๆ คือ เขาไม่ได้ยืนยันว่า การปกครองโดยทหารเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ต้องการชี้เพียงว่า ระบอบที่ควบคุมโดยทหารยังพอมีพื้นที่เปิดสำหรับความเป็นไปได้ในการพัฒนาประเทศไปในทิศทางประชาธิปไตย อย่างไรก็ตามทางเลือกอื่นที่มีอยู่ คือ คอมมิวนิสต์หรือการล่มสลายแตกแยกเท่านั้น และด้วยทัศนะนี้เอง นักรัฐศาสตร์ไทยอย่าง ดร.กนลา สุขพานิช-เอกแสงศรี ได้กล่าวไว้เมื่อ 37 ปีที่แล้วว่า “แม้ว่าจะเกิดการปฏิวัติ รัฐประหารกันบ่อยครั้งมากในประเทศกำลังพัฒนาในระยะเวลาเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา (ศตวรรษที่ 20/ผู้เขียน) สหรัฐก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้านการทหารกับประเทศ (กำลังพัฒนา/ผู้เขียน) เหล่านี้เป็นจำนวนมหาศาลในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน” และเมื่อสิ้นสุดภัยคุกคามจากกระแสคอมมิวนิสต์ สหรัฐก็เปลี่ยนท่าทีไปตามผลประโยชน์ของประเทศของตน
Henry Bienen นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้เป็นบรรณาธิการหนังสือ The Military and Modernization (1971) ได้เขียนคำนำในการตีพิมพ์ครั้งที่ 2 (2008) โดยตอนหนึ่งกล่าวว่า “ในช่วงกว่า 35 ปี ตั้งแต่ The Military and Modernization ออกสู่สาธารณะ... กองกำลังต่างๆ ในประเทศกำลังพัฒนาได้ทำรัฐประหารทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว กองกำลังได้กลายเป็นตัวตัดสินที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครอง ...ปรากฏการณ์นี้ได้เกิดขึ้นในหลายประเทศได้แก่ เวเนซุเอลา ไอวอรีโคสต์ ตุรกี อาร์เจนตินา มาดากัสการ์ ไลบีเรีย เซียร์ราลีโอนประเทศไทย ฯลฯ ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีรายชื่อประเทศที่อยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวอีกมาก
แต่ที่กล่าวมา เพื่อต้องการชี้ว่า บทบาทของทหารในประเทศกำลังพัฒนาไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลยแม้แต่น้อยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และก็เป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับ
นักวิชาการที่จะหาแบบแผนที่เหมาะสมลงตัวในการอธิบายบทบาทของทหารในประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ เหล่านี้ได้ การเข้าควบคุมอำนาจทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา
เปิดเผย ยังคงดำเนินต่อไปในประเทศเหล่านี้ เช่นเดียวกันกับการทำรัฐประหารที่สำเร็จและล้มเหลว และการปกครองของทหารอาจจะยาวหรือสั้นก็ได้ทั้งนั้น และการปกครองของทหารอาจจะมีพลเรือนเข้าร่วมด้วยในระดับที่แตกต่างกันไป
บางทีหากตอนนี้ข้าพเจ้าจะเริ่มรับบทเป็นบรรณาธิการให้แก่ผลงานรวมบทความชิ้นใหม่เกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังทหาร ข้าพเจ้าจะไม่ตั้งชื่องานชิ้นดังกล่าวว่า ‘ทหารกับการพัฒนาให้เป็นทันสมัย’ (The Military and Modernization) แต่ข้าพเจ้าจะตั้งชื่องานนั้นแทนว่า ‘กองกำลังกับสังคม’ (Armed Forces and Society) เพื่อพยายามดึงความสนใจ [ของผู้คน] มาที่ลักษณะหลายๆ แบบที่กองทัพในที่ต่างๆ ทั้งเติบโตขึ้นจากสังคมและส่งผลกระทบกลับมาที่สังคม”
(ส่วนหนึ่งของงานวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการพัฒนามหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติ ประจำปี 2557 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (WCU-071-HS-57))


