posttoday

"บิ๊กแจ๊ด" พลาด หรือ "สุวรรณภูมิ" บกพร่อง

24 มิถุนายน 2558

อดีตตำรวจใหญ่คงไม่สะเพร่าพกปืนเดินออกนอกประเทศ น่าจะเป็นความผิดพลาดของสนามบินต้นทาง

โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และตามมาพร้อมคำถามในสังคม ว่าเหตุใด “บิ๊กแจ๊ด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นายตำรวจที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว เจ้าของวลีเด็ด “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ถึงสามารถนำอาวุธปืนติดตัวผ่านด่านตรวจของสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเหินฟ้าไปสู่ประเทศญี่ปุ่นได้

ก่อนจะถูกรวบคาสนามบินนาริตะ ขณะเตรียมตัวกลับมายังมาตุภูมิ หลังตำรวจประเทศญี่ปุ่นตรวจพบอาวุธปืนกระบอกดังกล่าว ซึ่งเป็นปืนลูกโม่บรรจุกระสุน 6 นัด เบื้องต้นรายงานข่าวระบุว่า “บิ๊กแจ๊ด” ยอมรับว่าเป็นปืนของตนเองจริง แต่หารู้ไม่ว่ามันมาอยู่กับตัวเองได้อย่างไร หรือพกไว้แต่อาจลืม

จะผิดถูกอย่างไร หรือตำรวจญี่ปุ่นที่สนามบินาริตะผู้ตรวจพบจะดำเนินการอย่างไรต่อกับพล.ต.ท.คำรณวิทย์ คงเป็นเรื่องที่ต้องมีรายงานตามมาเป็นระยะแน่นอน แต่เหนืออื่นใดตามคำถามข้างต้นแล้ว คนเราตามปกติแล้ว สามารถพกพาอาวุธปืนขึ้นเครื่องบินได้หรือไม่กัน

คำถามดังกล่าว โพสต์ทูเดย์ ได้รับคำอธิบายจาก ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สนามบินสุวรรณภูมินายหนึ่ง (ไม่ขอเปิดเผยนาม) ว่า สำหรับคำว่าอนุญาตแล้ว “เป็นไปไม่ได้” ที่จะคนปกติ หรือแม้แต่ข้าราชการเองก็ตาม ทั้งฝ่ายปกครอง มั่นคง พลเรือน จะสามารถนำอาวุธปืนพกประจำกายบินข้ามประเทศได้ ด้วยเพราะกฎหมายการพกพาอาวุธแต่ละประเทศจะมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน บางประเทศอนุญาต บางประเทศไม่อนุญาต ดังนั้น เพื่อเคลียร์ทุกอย่างก่อนมีปัญหาตามมา ด่านตรวจที่ประเทศไทยจะไม่อนุญาตเด็ดขาดให้ผู้โดยสารพกปืนออกนอกประเทศ แม้ปืนกระบอกนั้นจะถูกแยกชิ้นส่วนจากกระบอก และแมกกาซีน กระสุน ออกจากกันก็ตาม

“เอาง่ายๆ คือ แค่ในประเทศถ้าจะพกกันเพราะมีงานมีราชการ ก็ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินก่อนจะทำการเช็คอิน และที่สำคัญต้องมีใบอนุญาตเครื่องย้ายอาวุธปืนกระบอกนั้นได้ และตัวปืนก็ต้องแยกออกจากกัน จะไม่อนุญาตให้นำขึ้นไปภายในห้องโดยสารเด็ดขาด นี่คือกฎการบินสากลอยู่แล้ว จะต้องบรรจุอยู่ใต้ท้องเครื่องบินในห้องสัมภาระเท่านั้น นี่เฉพาะบินภายในประเทศนะ ถ้าบินออกนอกไม่อนุญาตเด็ดขาด”

นายตำรวจคนเดิม ย้ำว่า ที่สำคัญ หากตำรวจ หรือทหารผู้นั้นมีราชการที่ต้องไปต่างจังหวัด และโดยสารเครื่องบินพร้อมพกพาอาวุธด้วย จะต้องมี “ใบราชการ” กำกับหน้าที่ปฏิบัติเหตุนั้นไว้ด้วย เพื่อแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่สายการบิน โดยขั้นตอนเมื่อแจ้งแล้ว จะต้องส่งมอบอาวุธปืนให้เจ้าหน้าที่สายการบินเป็นผู้ดูแลแต่ฝ่ายเดียว เจ้าของปืนไม่มีสิทธิดูแลเองเด็ดขาดตลอดการทำการบิน

“เว้นเสียแต่ต่างประเทศจะมีแอร์มาแชล (ตำรวจอากาศ) ที่จะพกอาวุธขึ้นไปกับเครื่องบินได้และปะปนกับผู้โดยสารประหนึ่งว่าเป็นบุคคลเดินทางเช่นกัน แต่เฉพาะบางประเทศเท่านั้น และเท่าที่ทราบมาบ้านเราไม่มีแอร์มาแชล”

ส่วนกรณีของ “บิ๊กแจ๊ด” นั้น ปืน หลุดไปได้อย่างไร นายตำรวจผู้นี้ให้ทรรศนะว่า คงเกิดข้อผิดพลาด และไม่มีช่องผ่าน หรือช่องตรวจวีไอพีบุคคลพิเศษอย่างที่สื่อเข้าใจกัน ผู้โดยสารไม่ว่าจะเป็นชั้นหนึ่ง ชั้นธุรกิจ หรือชั้นประหยัด ต่างต้องถูกตรวจถูกค้นเหมือนกันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะถือปืนแล้วเดินผ่านเข้าด่านตรวจโดยไม่ถูกเรียก

แต่สำหรับกรณีของพล.ต.ท.คำรณวิทย์ นั้น ความสะเพร่าที่ปล่อยให้ “ปืน” หลุดออกจากเมืองไทยผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ อดีตตำรวจใหญ่นายหนึ่ง ให้ความเห็นเสริมว่า น่าจะเกิดจากคน หรือเจ้าหน้าที่ของสนามบิน ที่พบว่าเป็นบุคคลใหญ่แล้วเกิดลูกเกรงใจจึงไม่กล้าจะตรวจจริงๆ จังๆ แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับพล.ต.ท.คำรณวิทย์นั้น ยังไม่มีข้อสรุปว่าปืนที่พบนั้น พกไว้ในกระเป๋าเดินทาง หรือกับตัวเอง ถ้าหากพกไว้ในกระเป๋าเดินทาง ก็เป็นอันว่าเครื่องตรวจและคนที่มีรับผิดชอบสแกนกระเป๋าของผู้โดยสารนั้นมีปัญหา เกิดความบกพร่อง แต่ถ้าหากพกติดตัว อันนี้คือลูกเกรงใจ

“แต่เชื่อว่าอดีตตำรวจใหญ่อย่างพล.ต.ท.คำรณวิทย์ คงไม่สะเพร่าพกปืนเดินหราออกนอกประเทศแน่ เพราะต้องรู้ข้อกฎหมายเป็นอย่างดี น่าจะเป็นความผิดพลาดของสนามบินต้นทางมากกว่า”

ส่วนกรณีที่ว่าผ่านด่านตรวจที่สนามบินนาริตะไปได้อย่างไรเมื่อถึงขาเข้านั้น อดีตนายตำรวจใหญ่ผู้นี้ของดให้ความเห็น

ภาพจาก http://www.fnn-news.com/news/headlines/articles/CONN00295697.html