posttoday

"โอกาสคือสิ่งที่เด็กสลัมควรได้รับ"...ศีลดา รังสิกรรพุม

21 มิถุนายน 2558

เสียงจาก ครูต้อ-ศีลดา รังสิกรรพุม ผู้จัดการมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ กับการดำเนินงานของมูลนิธิที่เวียนมาครบรอบปีที่ 34 ในวันที่ 22 มิ.ย.

โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด

ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ยังเป็นปัญหาหลักของประเทศที่ควรได้รับการเร่งแก้ไข โดยสถานที่แห่งหนึ่งที่สะท้อนโอกาสและความไม่เท่าเทียมทางสังคมของมนุษย์ได้อย่างดี  หนีไม่พ้น “ชุมชนแออัดหรือสลัม”

โดยเฉพาะโอกาสที่เลือกไม่ได้ของ “เด็กอ่อน” ในวัยแรกเกิดถึง 5 ขวบ นับว่าน่าเป็นห่วง...

22 มิ.ย. 2558  เป็นวันครบรอบปีที่ 34 แห่งการแก้ไขปัญหาของ  “มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์” ที่ได้มอบโอกาส มอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับเด็กอ่อนหลายหมื่นชีวิต

โพสต์ทูเดย์มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ “ศีลดา รังสิกรรพุม” หรือ ครูต้อ ผู้จัดการมูลนิธิฯถึงสถานการณ์เด็กอ่อนในสลัม ณ ปัจจุบัน...

มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ก่อตั้งได้อย่างไร

มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2524 โดยผู้หญิงที่เติบโตขึ้นมาจากคลองเตย อย่าง ครูประทีป อึ้งทรงธรรม นักสิทธิมนุษยชนชื่อดัง

“ตอนนั้นครูประทีปพบว่า ความไม่พร้อมของครอบครัว เป็นปัญหาที่ทำให้เด็กๆ ในชุมชนแออัดขาดโอกาสทางการศึกษา พ่อแม่ต้องออกไปทำงานและทิ้งเด็กอ่อนไว้กับผู้เป็นพี่ ซึ่งเท่ากับว่าตัดโอกาสทางการศึกษาของคนเป็นพี่ทันที เพราะต้องอยู่ดูแลน้องๆ  ครูประทีปจึงหาทางออกด้วยการก่อตั้งมูลนิธิเลี้ยงดูเด็กอ่อนขึ้นมา ภายในชุมชนคลองเตย รับเลี้ยงเด็กตอนกลางวันแล้วให้พ่อแม่มารับอีกครั้งในตอนเย็น” 

หลังจากนั้น 2 ปี นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงเมื่อสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงรับเป็นองค์อุปถัมป์

จากบ้านหลังแรก คือบ้านสมวัย ที่คลองเตย ปัจจุบันขยายต่อมาจนมีทั้งหมด 4 หลัง ได้แก่บ้านเด็กอ่อนเสือใหญ่ ชุมชนเสือใหญ่บริเวณประชาอุทิศ บ้านศรีนครินทร์ ชุมชนกองขยะหนองแขม และ บ้านแห่งความหวัง ชุมชนกองขยะอ่อนนุช

ศีลดา เข้ามาทำงานตรงนี้ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2535 ในฐานะ ผู้จัดการบ้านเด็กอ่อนศรีนรินทร์

หลังเรียนจบจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง  เนื่องจากมีความสนใจทางด้านสังคมอยู่แล้ว   พอเห็นป้ายโครงการสาธารณสุขมูลฐานแม่และเด็ก ของแพทย์หญิงแอนมารี วาน เดนบอสเซ่ เปิดรับสมัครคนทำงานในตำแหน่งผู้จัดการสถานรับเลี้ยงเด็กหนองแขม ที่ชุมชนกองขยะหนองแขม เลยไม่รีรอ ก่อนได้รับโอกาสให้เป็นผู้จัดการบ้านศรีนรินทร์”ศีลดาเท้าความ

พอได้ทำงาน ได้ลงสำรวจความเป็นอยู่ของเด็กๆ ในสลัม เราพบว่า คนในชุมชนมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากมาก เด็กๆ ก็ทานอาหารบูดๆ เรารู้สึกว่าในฐานะคนไทย เราควรจะทำอะไรได้บ้าง โดยเชื่ออย่างสนิทใจว่า เด็กอ่อนทุกคน สามารถเติบโตได้ดี ถ้าได้รับโอกาสที่ดี

"โอกาสคือสิ่งที่เด็กสลัมควรได้รับ"...ศีลดา รังสิกรรพุม

แรกเกิดถึง 5 ขวบ  คือ ช่วงเวลาสุดสำคัญ      

บ้านเรือนที่สร้างขึ้นต่ำกว่ามาตรฐาน ความสกปรกรุงรัง และการขาดการรักษาความปลอดภัยที่มั่นคง    ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากอยู่..

ชุมชนสลัมหรือชุมชนแออัด ยังเป็นศูนย์รวมของปัญหา ทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งภาวะความไม่พร้อมนั้นนำไปสู่ การเลี้ยงดูเอาใจใส่ที่ไม่เพียงพอต่อเด็ก เกิดปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัว ไปจนกระทั่งปัญหายาเสพติด

ครูต้อ ของเด็กๆ เล่าว่า ชุมชนแออัดเป็นเสมือนศูนย์รวมของคนที่มีปัญหามาอยู่รวมกัน คนเหล่านี้ขาดแคลนที่อยู่อาศัย มีอาชีพที่ไม่แน่นอนและค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันนั้นไม่เพียงพอ เนื่องจากคนในชุมชนมักมีหนี้สินหรือใช้จ่ายอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อประสบกับความยากจน ปัญหาอื่นๆ อย่างครอบครัวแตกแยกและยาเสพติดก็มักจะตามมา

ปัญหาทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า เด็กกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต และถ้าไม่มีใครเข้าไปช่วยดูแลในช่วงวัยสำคัญคือแรกเกิดถึง 5 ขวบ จะทำให้พวกเขาโตขึ้นมาอย่างมีปัญหา ทั้งในแง่การเรียนรู้และการปรับตัวสู่สังคมที่ดีกว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าประเทศไทยจะมีประชากรที่มีคุณภาพหรือไม่ในอนาคต..

ปัจจุบันชุมชนแออัดแต่ละพื้นที่ มีเด็กอ่อนในความดูแลไม่ต่ำกว่า 100 คน ทั้งเด็กไทยและเด็กจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมูลนิธิมองเรื่องสิทธิมนุษยชนมากกว่าภาระทางการเงิน

“ไม่ว่าเชื้อชาติไหน เด็กก็คือเด็ก เพราะวัยนี้สำคัญที่สุดของชีวิต ทำอย่างไรให้เขาได้เริ่มต้นชีวิตที่ดี” ศีลดาเผยความตั้งใจ

ร่วมพัฒนาเด็ก และ พัฒนาครู

ด้วยความสามารถอันจำกัดของบ้านเด็กอ่อนในสลัมทั้ง 4 แห่งที่รองรับเด็กๆได้เพียงปีละ 600 คน  สวนทางกับตัวเลขเด็กอ่อนที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี ทำให้ มูลนิธิฯ ผุดโครงการ “บ้านร่วมพัฒนาเด็ก” ขึ้นมารองรับ

“เราคิดว่าจะทำอย่างไรให้สามารถช่วยเหลือเด็กอ่อนได้อย่างทั่วถึงกว่าเดิม จนเกิดเป็นโครงการบ้านร่วมพัฒนาเด็ก  โดยสนับสนุนให้ชุมชนเปิดบ้านรับเลี้ยงเด็กเป็นของตัวเอง ภายใต้การดูแลของมูลนิธิ มีการจัดอบรมปลูกฝังแนวคิดและคุณค่าในการดูแลเด็กให้ฟรี มีเจ้าหน้าที่และพยาบาลลงเยี่ยมบ้านอย่างสม่ำเสมอ”  

ผู้จัดการมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม  เผยต่อว่า ปัจจุบันมีบ้านร่วมพัฒนาเด็กทั้งหมดถึง 68 หลัง  ดูแลเด็กๆ เกือบ 3 พันคน นับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะ ชาวบ้าน และเด็กๆ สามารถดูแลกันได้เอง ทำให้เกิดความเข้มแข็งของชุมชน โดยอนาคตตั้งใจขยายโครงการนี้ให้กว้างขวางต่อไป เนื่องจากมีสลัมทั้งหมดกว่า 2 พันแห่ง ที่ยังรอรับการดูแล

นอกจากพัฒนาเด็กแล้ว การพัฒนาเรือจ้างอย่างครูก็สำคัญไม่แพ้กัน 

“เรามีโครงการครูดีในใจเด็ก เพราะ เราเชื่อว่าครูสำคัญมาก เราจัดหลักสูตรที่สร้างจิตสำนึกของความเป็นครู ปลูกฝังให้ครูเคารพในสิทธิเด็กและเพิ่มความรู้ทักษะในการดูแลเด็กเล็ก โดยเปิดอบรมมาแล้ว  4 ปี มีคุณครูเข้ามาร่วมอบรมเกือบ  900 คนจาก 54 จังหวัด แนวคิดหลักคือสร้างเด็กให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี”ศีลดาเผย

ถ้ายังมีความเหลื่อมล้ำมูลนิธิก็ยังต้องทำหน้าที่

“การลงทุนกับเด็กวัยนี้นั้นเป็นเรื่องสุดสำคัญ ถ้าในระยะยาว ชุมชนพร้อม คุณภาพชีวิตทุกคนดีขึ้น ไม่ต้องมีมูลนิธิฯ ก็ได้ แต่ทุกวันนี้เราพยายามให้โอกาสเขาได้มากที่สุด เพื่อให้ใกล้เคียงกับเด็กคนอื่นๆ” 

เธอเสริมว่า มูลนิธิฯ เติบโตคู่มากับปัญหาของเด็กที่ไม่มีความพร้อม 34 ปีตลอดการทำงาน เราสามารถช่วยเหลือเด็กๆ ได้หลายหมื่นคน และถ้าประเทศยังมีช่องว่างระหว่างคนจนและรวยที่มากขนาดนี้ มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมก็ยังจำเป็นต้องทำหน้าที่ต่อไป

ความเห็นต่อนโยบายสนับสนุน “เงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กเล็ก" เพื่ออุดช่องว่างเหลื่อมล้ำบุตรผู้มีรายได้น้อยของภาครัฐ ที่จะเริ่มอนุมัติในเดือนต.ค.นี้  ผู้คลุกคลีกับเด็กอ่อนในสลัมกว่า 20 ปี บอกว่าเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับอนาคตของประเทศ

"การลงทุนแบบนี้เชื่อว่า ในอนาคตจะทำให้มีเด็กที่มีคุณภาพมากขึ้นทั้งทางด้านร่างกายจิตใจ อย่างไรก็ตามเห็นว่าภาครัฐควรอุดหนุนสวัสดิการเพื่อเด็กเล็กมากขึ้นทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายในการพัฒนาเด็กด้านอื่นๆ รวมทั้งจัดสวัสดิการหรือกิจกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาพ่อแม่ ผู้ปกครองของเด็กๆ ด้วย"ผู้จัดการมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมระบุ

ข่าวล่าสุด

ตำรวจไซเบอร์-ทหาร ถกเข้มชายแดนสระแก้ว เตรียมรับคนไทยจากกัมพูชากลับบ้าน!