posttoday

ทำไมจึงเขียน ‘กาฐมาณฑุ’?

14 มิถุนายน 2558

แผ่นดินไหวในเนปาลช่วงปลายเดือน เม.ย. 2558 เป็นโอกาสให้เราทำความรู้จักเนปาลในแง่มุมต่างๆ มากขึ้น

โดย...เชาวลิต บุณยภูษิต เครือข่ายพุทธิกา http://www.budnet.org

แผ่นดินไหวในเนปาลช่วงปลายเดือน เม.ย. 2558 เป็นโอกาสให้เราทำความรู้จักเนปาลในแง่มุมต่างๆ มากขึ้น ในที่นี้ขอนำความรู้ด้านภาษาที่พอจะมีอยู่บ้าง ซึ่งเขียนตอบข้อสงสัยของเพื่อนมาขยายต่อนะครับ

ศัพท์เนปาลีเขียนชื่อเมืองหลวงด้วยอักษรเทวนาครี (อักษรเทวนาครี อ่าน “เท-วะ-นา-คะ-รี” พัฒนามาจากอักษรพราหมีในราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 ใช้เขียนภาษาฮินดี ภาษาสันสกฤต ภาษามราฐี ภาษาบาลี ภาษาสินธี ภาษาเนปาล และภาษาอื่นๆ ในประเทศอินเดีย) ว่า “&>325;&>366;&>336;&>350;&>366;&>306;&>337;&>370;” เขียนด้วยอักษรโรมันว่า “k&>57;&s789;hm&>57;&s751;&s693;&&63;” ท่านจึงถอดเป็นอักษรไทยว่า “กาฐมาณฑุ” (ถ้าจะให้ตรงกับของเดิมเป๊ะ พยางค์สุดท้ายเสียงสระยาว อู ต้องเขียน “กาฐมาณฑู” ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมพยางค์สุดท้ายท่านจึงเขียนเสียง
สระสั้น “กาฐมาณฑุ”?)

นักปราชญ์แต่อดีตมาท่านเทียบเสียงและตัวเขียนไว้ตามที่นำมาให้ดู ภาษาในชมพูทวีปและเอเชียใต้จำนวนมากเขียนด้วยตัวอักษรเทวนาครี (เทียบภาษาในยุโรปจำนวนมากเขียนด้วยตัวอักษรโรมัน [ที่เราเข้าใจว่าตัวอักษรอังกฤษนั่นแหละ แท้ที่จริงคือภาษาอังกฤษ เขียนด้วยอักษรโรมัน ภาษาเยอรมันเขียนด้วยอักษรโรมัน ภาษาสเปนเขียนด้วยอักษรโรมัน เป็นต้น])

เท่าที่สังเกตเผินๆ (แต่ยังไม่ได้ศึกษาแนวลึก) ตระกูลภาษาอินโดยุโรปในชมพูทวีป รวมถึงภาษาพม่า มอญ ไทย ลาว เขมร ที่ได้รับอิทธิพลมาจากภาษาในอินเดีย พยัญชนะแบ่งเป็นวรรคเหมือนกัน อาจจะเพิ่มหรือลดบ้างเป็นบางตัวตามท้องถิ่น ส่วนการออกเสียงก็ต่างกันไปตามถิ่นที่เช่นกัน

วรรคของพยัญชนะ คือ

ก ข ค ฆ ง

จ ฉ ช ฌ ญ

ฏ ฐ ฑ ฒ ณ

ต ถ ท ธ น

ป ผ พ ภ ม

เป็นต้น (ดูตารางการเทียบเสียงเทวนาครี-โรมัน-ไทย)

น่าจะด้วยเหตุฉะนี้ ฉะนั้นแนวทางการทับศัพท์ภาษาในตระกูลดังกล่าวนี้ ท่านจึงยึดตามตัวเขียน ไม่ได้ยึดตามการออกเสียง เพื่อที่ว่าเมื่อเห็นตัวเขียนแล้วจะได้โยงไปถึงศัพท์เดิมได้ถูก และหาความหมายได้ถูกต้อง เช่น

1.เมือง “Amritsar” (&>309;&>350;&>371;&>340;&>360;&>352;) ถ้าอ่านตามฝรั่งก็จะได้เสียงอย่างที่ได้ยินกันเกร่อ แต่ไม่ช่วยให้รู้ความหมายของชื่อเมืองแห่งนี้ได้เลย

แต่ถ้ายึดตามเกณฑ์ที่ท่านวางไว้จะเขียนได้ว่า “อมฤตสระ” แปลว่า สระน้ำอมฤต (The pond of nectar) คนอ่านก็จะ “อ๋อ!!” ทันที

2.Himalaya (&>361;&>367;&>350;&>366;&>354;&>351;) หิมาลัย (หิมะ + อาลัย) ที่อยู่ของหิมะ (abode of snow) ไม่ใช่เขียน “หิมาลายา” ตามที่ฝรั่งอ่าน

3.Maharashtra (&>350;&>361;&>366;&>352;&>366;&>359;&>381;&>335;&>381;&>352;) มหาราษฏระ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ (Great State, Great Nation) ชื่อรัฐของอินเดีย เฉพาะรัฐนี้มีประชากรกว่า 100 ล้านคน เป็นต้น

มีเรื่องลักษณะแบบมั่วๆ พร่าๆ มัวๆ ไม่น้อย ที่ไทยได้เดินตาม กำลังเดินตาม และคงจะเดินตามฝรั่งอีกต่อไป ตัวอย่างร่วมสมัย เช่น ศัพท์ “Guru” ที่คนไทยยุคปัจจุบันจำนวนมากคิดว่าไปยืมศัพท์นี้มาจากฝรั่ง นิยมพูดกันทั้งในแวดวงวิชาการและสื่อมวลชน เขียนหรืออ่านกันว่า “กูรู” บ้าง “กูรู้” บ้าง แล้วก็โยงไปหาที่มาดั้งเดิมไม่เจอ ศัพท์นี้เข้ามาในไทยสักพักใหญ่แล้ว แต่เหตุที่ท่านไม่บัญญัติศัพท์รองรับ เพราะความเป็นจริงคือฝรั่งยืมมาจากศัพท์ “คุรุ” (&>327;&>369;&>352;&>369;) ในภาษาฮินดี ซึ่งเป็นศัพท์เดียวกันกับที่ไทยใช้มาแต่บรรพบุรุษแล้ว คือ “ครู” (บาลี ครุ) คุรุ (สันสกฤต) นั่นเอง!!

สังคมเราน่าจะถามตัวเองว่าจะปล่อยให้ใช้กันมั่วๆ ซั่วๆ อย่างนี้ต่อไป หรือจะหาความรู้และใช้ให้ถูกต้องดี?

จากกรณีที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นและเบื้องปลาย ผมเชื่อตามที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พูดเสมอว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์หรือปัญหาอะไรขึ้น ถ้าคนในสังคมเราพยายามหาความรู้จากสิ่งที่ไม่รู้ และแสวงหาความรู้ก่อนจะแสดงความคิดเห็น ในที่สุดก็น่าจะพอรู้และพ้นจากความมั่วๆ ปรับความพร่ามัวให้ชัดเจน และน่าจะหาทางออกจากปัญหาได้ และสังคมคงจะดำเนินไปได้ด้วยดี อยู่กันด้วยความ
เข้าใจดี...ใช่หรือไม่?

ข่าวล่าสุด

Adobe Firefly รวมพลังโมเดลสร้างวีดีโอ สู่การใช้งาน Runway