ทำไมจึงเขียน ‘กาฐมาณฑุ’?
แผ่นดินไหวในเนปาลช่วงปลายเดือน เม.ย. 2558 เป็นโอกาสให้เราทำความรู้จักเนปาลในแง่มุมต่างๆ มากขึ้น
โดย...เชาวลิต บุณยภูษิต เครือข่ายพุทธิกา http://www.budnet.org
แผ่นดินไหวในเนปาลช่วงปลายเดือน เม.ย. 2558 เป็นโอกาสให้เราทำความรู้จักเนปาลในแง่มุมต่างๆ มากขึ้น ในที่นี้ขอนำความรู้ด้านภาษาที่พอจะมีอยู่บ้าง ซึ่งเขียนตอบข้อสงสัยของเพื่อนมาขยายต่อนะครับ
ศัพท์เนปาลีเขียนชื่อเมืองหลวงด้วยอักษรเทวนาครี (อักษรเทวนาครี อ่าน “เท-วะ-นา-คะ-รี” พัฒนามาจากอักษรพราหมีในราวคริสต์ศตวรรษที่ 11 ใช้เขียนภาษาฮินดี ภาษาสันสกฤต ภาษามราฐี ภาษาบาลี ภาษาสินธี ภาษาเนปาล และภาษาอื่นๆ ในประเทศอินเดีย) ว่า “&>325;&>366;&>336;&>350;&>366;&>306;&>337;&>370;” เขียนด้วยอักษรโรมันว่า “k&>57;&s789;hm&>57;&s751;&s693;&&63;” ท่านจึงถอดเป็นอักษรไทยว่า “กาฐมาณฑุ” (ถ้าจะให้ตรงกับของเดิมเป๊ะ พยางค์สุดท้ายเสียงสระยาว อู ต้องเขียน “กาฐมาณฑู” ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมพยางค์สุดท้ายท่านจึงเขียนเสียง
สระสั้น “กาฐมาณฑุ”?)
นักปราชญ์แต่อดีตมาท่านเทียบเสียงและตัวเขียนไว้ตามที่นำมาให้ดู ภาษาในชมพูทวีปและเอเชียใต้จำนวนมากเขียนด้วยตัวอักษรเทวนาครี (เทียบภาษาในยุโรปจำนวนมากเขียนด้วยตัวอักษรโรมัน [ที่เราเข้าใจว่าตัวอักษรอังกฤษนั่นแหละ แท้ที่จริงคือภาษาอังกฤษ เขียนด้วยอักษรโรมัน ภาษาเยอรมันเขียนด้วยอักษรโรมัน ภาษาสเปนเขียนด้วยอักษรโรมัน เป็นต้น])
เท่าที่สังเกตเผินๆ (แต่ยังไม่ได้ศึกษาแนวลึก) ตระกูลภาษาอินโดยุโรปในชมพูทวีป รวมถึงภาษาพม่า มอญ ไทย ลาว เขมร ที่ได้รับอิทธิพลมาจากภาษาในอินเดีย พยัญชนะแบ่งเป็นวรรคเหมือนกัน อาจจะเพิ่มหรือลดบ้างเป็นบางตัวตามท้องถิ่น ส่วนการออกเสียงก็ต่างกันไปตามถิ่นที่เช่นกัน
วรรคของพยัญชนะ คือ
ก ข ค ฆ ง
จ ฉ ช ฌ ญ
ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
ต ถ ท ธ น
ป ผ พ ภ ม
เป็นต้น (ดูตารางการเทียบเสียงเทวนาครี-โรมัน-ไทย)
น่าจะด้วยเหตุฉะนี้ ฉะนั้นแนวทางการทับศัพท์ภาษาในตระกูลดังกล่าวนี้ ท่านจึงยึดตามตัวเขียน ไม่ได้ยึดตามการออกเสียง เพื่อที่ว่าเมื่อเห็นตัวเขียนแล้วจะได้โยงไปถึงศัพท์เดิมได้ถูก และหาความหมายได้ถูกต้อง เช่น
1.เมือง “Amritsar” (&>309;&>350;&>371;&>340;&>360;&>352;) ถ้าอ่านตามฝรั่งก็จะได้เสียงอย่างที่ได้ยินกันเกร่อ แต่ไม่ช่วยให้รู้ความหมายของชื่อเมืองแห่งนี้ได้เลย
แต่ถ้ายึดตามเกณฑ์ที่ท่านวางไว้จะเขียนได้ว่า “อมฤตสระ” แปลว่า สระน้ำอมฤต (The pond of nectar) คนอ่านก็จะ “อ๋อ!!” ทันที
2.Himalaya (&>361;&>367;&>350;&>366;&>354;&>351;) หิมาลัย (หิมะ + อาลัย) ที่อยู่ของหิมะ (abode of snow) ไม่ใช่เขียน “หิมาลายา” ตามที่ฝรั่งอ่าน
3.Maharashtra (&>350;&>361;&>366;&>352;&>366;&>359;&>381;&>335;&>381;&>352;) มหาราษฏระ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ (Great State, Great Nation) ชื่อรัฐของอินเดีย เฉพาะรัฐนี้มีประชากรกว่า 100 ล้านคน เป็นต้น
มีเรื่องลักษณะแบบมั่วๆ พร่าๆ มัวๆ ไม่น้อย ที่ไทยได้เดินตาม กำลังเดินตาม และคงจะเดินตามฝรั่งอีกต่อไป ตัวอย่างร่วมสมัย เช่น ศัพท์ “Guru” ที่คนไทยยุคปัจจุบันจำนวนมากคิดว่าไปยืมศัพท์นี้มาจากฝรั่ง นิยมพูดกันทั้งในแวดวงวิชาการและสื่อมวลชน เขียนหรืออ่านกันว่า “กูรู” บ้าง “กูรู้” บ้าง แล้วก็โยงไปหาที่มาดั้งเดิมไม่เจอ ศัพท์นี้เข้ามาในไทยสักพักใหญ่แล้ว แต่เหตุที่ท่านไม่บัญญัติศัพท์รองรับ เพราะความเป็นจริงคือฝรั่งยืมมาจากศัพท์ “คุรุ” (&>327;&>369;&>352;&>369;) ในภาษาฮินดี ซึ่งเป็นศัพท์เดียวกันกับที่ไทยใช้มาแต่บรรพบุรุษแล้ว คือ “ครู” (บาลี ครุ) คุรุ (สันสกฤต) นั่นเอง!!
สังคมเราน่าจะถามตัวเองว่าจะปล่อยให้ใช้กันมั่วๆ ซั่วๆ อย่างนี้ต่อไป หรือจะหาความรู้และใช้ให้ถูกต้องดี?
จากกรณีที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นและเบื้องปลาย ผมเชื่อตามที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) พูดเสมอว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์หรือปัญหาอะไรขึ้น ถ้าคนในสังคมเราพยายามหาความรู้จากสิ่งที่ไม่รู้ และแสวงหาความรู้ก่อนจะแสดงความคิดเห็น ในที่สุดก็น่าจะพอรู้และพ้นจากความมั่วๆ ปรับความพร่ามัวให้ชัดเจน และน่าจะหาทางออกจากปัญหาได้ และสังคมคงจะดำเนินไปได้ด้วยดี อยู่กันด้วยความ
เข้าใจดี...ใช่หรือไม่?


